โรคเก๊าท์
by Potae Thanasak
1. การรักษา
1.1. รักษาโดยการใช้ยาเป็นหลัก ควบคู่กับการปฏิบัติตนเพื่อเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของโรค
1.1.1. ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-steroidal Anti-inflammatory Drugs: NSAIDs)
1.1.2. ยาโคลชิซิน (Colchicine)
1.1.3. ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids)
1.2. สำหรับในบางกรณีอาจจะใช้วิธีผ่าตัดแทนการใช้ยา หากอาการของโรคนั้นรุนแรง
1.3. ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการปวดในเบื้องต้นได้ด้วยการหยุดเคลื่อนไหวบริเวณที่มีอาการปวดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังมีอาการ โดยพยายามยกบริเวณข้อต่อที่ปวดให้อยู่สูง หากมีอาการบวมแดงอาจบรรเทาด้วยการประคบน้ำแข็ง แต่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแอสไพริน
2. การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคเก๊าท์
2.1. หลีกเลี่ยงหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในปริมาณที่พอดี
2.2. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมาก โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
2.3. ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
2.4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล สัตว์ปีก
2.5. ผู้ที่มีภาวะอ้วนควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่ไม่ควรอดอาหารหรือลดน้ำหนักรวดเร็วจนเกินไป
3. ภาวะแทรกซ้อนของโรคเก๊าท์
3.1. หากไม่รักษาป่วยบางรายอาจมีอาการของโรคบ่อยมากขึ้น ไปจนถึงการเกิดก้อนโทฟี่หรือปุ่มนูนใต้ผิวหนังในหลายส่วนของร่างกาย
3.2. ปวดตามข้อ ข้อต่อบิดเบี้ยวจนผิดรูปไปจากเดิม
3.3. มีโอกาสเกิดนิ่วในไตจากการสะสมของผลึกยูเรตในระบบทางเดินปัสสาวะ
3.4. อาจนำไปสู่การทำงานของไตที่ปกติหรือเกิดภาวะไตวาย
4. อาการ
4.1. ปวดอย่างรุนแรงตามข้อต่อ
4.2. ข้อต่อเกิดการอักเสบและติดเชื้อ ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดง บวม แสบร้อน
4.3. เคลื่อนไหวร่างการได้ไม่สะดวกจากภาวะข้อติด
4.4. ผิวหนังบริเวณข้อต่อเกิดการลอกหรือคัน
5. สาเหตุ
5.1. เป็นผลมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ทำให้เกิดการตกผลึกตามข้อต่าง ๆ จนเกิดอาการปวดบวมตามข้ออย่างรุนแรงและอาการอื่น ๆ ของโรคตามมา
5.2. กรดยูริกเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งในเลือดที่ได้มาจากการย่อยสลายสารพิวรีน (Purines) ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายและอาหารที่รับประทานเข้าไป
6. การวินิจฉัยโรคเก๊าท์
6.1. การเจาะข้อ แพทย์จะนำเข็มเจาะบริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อดูดเอาน้ำในข้อออกมาตรวจดูการสะสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals)
6.2. การตรวจเลือด แพทย์อาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดระดับของกรดยูริกและสารครีเอตินินว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่
6.3. การเอกซเรย์ การถ่ายเอกซเรย์บริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อตรวจดูว่าเกิดการอักเสบตามข้อหรือไม่
6.4. การอัลตราซาวด์ จะช่วยตรวจพบการสะสมของผลึกยูเรตตามข้อจนเป็นปุ่มนูนหรือก้อนที่เรียกว่า โทฟี่ (Tophi)
6.5. การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูกรดยูริกที่ปะปนในน้ำปัสสาวะ