1. ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.1. 1.เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
1.1.1. วัตถุประสงค์
1.1.1.1. ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
1.1.2. ข้อมูลสนับสนุน
1.1.2.1. S:กรณีศึกษาบอกว่า “หนูรู้สึกเครียดไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง”
1.1.2.2. S:กรณีศึกษาบอกว่า “ไม่มีใครรับฟังและเข้าใจหนูเลย”
1.1.2.3. S:ผู้ปกครองบอกว่า “เป็นห่วงแต่ไม่รู้จะพูดกับลูกยังไง”
1.1.2.4. O:ผู้ปกครองเป็นห่วงกรณีศึกษาโดยศึกษาข้อมูลในการเลี้ยงดูบุตรวัยรุ่นอยู่เสมอ
1.1.3. เกณฑ์การประเมินผล
1.1.3.1. วัยรุ่นมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ปกครองไม่เกิดความขัดแย้งภายในครอบครัว
1.1.4. กิจกรรมการพยาบาล
1.1.4.1. ให้คำแนะนำการดูแลตนเอง
1.1.4.1.1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวไว้วางใจ
1.1.4.1.2. การหลีกเลี่ยงต่อพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ เช่น การไม่เที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์ต่างๆ การไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ การไม่คบหาบุคคลแปลกหน้า การแต่งกายรัดรูป การเปิดเผยสัดส่วนในที่สาธารณชน ตลอดจนการแสดงออกทางด้านกิริยา ท่าทางที่ยั่วยวนไม่เหมาะสม การถูกเนื้อต้องตัว โดยการโอบ การกอด
1.1.4.1.3. รู้จักทักษะการปฏิเสธ การรู้จักการปฏิเสธ เป็นการช่วยลดความต้องการทางเพศได้ เช่น คำว่า “ไม่ หยุด อย่า” ทั้งนี้ต้องเป้นการปฏิเสธที่มาจากความตั้งใจจริงที่จะหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองมากกว่า การเสแสร้งยั่งยวนหรือส่งเสริมอารมณ์ทางเพศมากขึ้น
1.1.4.1.4. รู้จักการคุมกำเนิด การคุมกำเนิดเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ การคุมกำเนิดมีหลายวิธี การรู้จักเลือกวิธีในการควบคุมกำเนิดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมความสะดวกของแต่ละคน แต่การรู้จักการคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย เป็นวิธีการที่สะดวกประหยัด ได้ผลดีทั้งการป้องกันการตั้งครรภ์ และการปลอดภัยจากโรคทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์แต่ขณะเดียวกัน การรู้จักวิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะถุงยางอนามัยที่หมดอายุ และวิธีการใช้ไม่ถูกต้อง อาจก่อปัญหาขึ้นได้
1.1.4.1.5. ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัว ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัว เป็นการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่สำคัญอย่างหนึ่งของวัยรุ่น ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคลในครอบครัวจะสร้างความรัก ความผูกพัน ความเข้าใจ ซึ่งเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับวัยรุ่น ตลอดจนการยึดมั่นเรื่องการรักนวลสงวนตัวก่อนถึงการแต่งงาน ก็จะช่วยลดพฤติกรรมที่เสี่ยงได้
1.2. 2.ผู้ปกครองมีทัศนคติเชิงลบต่อความรักในวัยเรียน
1.2.1. วัตถุประสงค์
1.2.1.1. เพื่อให้ผู้ปกครองมีทัศนคติในเรื่องความรักในวัยเรียนที่เหมาะสม
1.2.2. ข้อมูลสนับสนุน
1.2.2.1. s:ผู้ปกครองบอกว่า “ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง บางทีก็รู้สึกโมโหจึงพูดด้วยอารมณ์”
1.2.2.2. s:ผู้ปกครองบอกว่า “มีลูกสาวคนเดียวจึงเป็นห่วงมาก”
1.2.2.3. s:ผู้ปกครองบอกว่า “เป็นห่วงแต่ไม่รู้จะพูดกับลูกยังไง”
1.2.2.4. o:ผู้ปกครองเป็นห่วงกรณีศึกษาโดยศึกษาข้อมูลในการเลี้ยงดูบุตรวัยรุ่นอยู่เสมอ
1.2.3. เกณฑ์การประเมินผล
1.2.3.1. ผู้ปกครองมีทัศนคติที่ดีต่อความรักในวัยเรียนไม่เกิดความขัดแย้งภายในครอบครัว
1.2.4. กิจกรรมการพยาบาล
1.2.4.1. สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับความรักในวัยเรียน เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ความรักจะเกิดได้ในวัยรุ่น
1.2.4.2. พูดคุย ทำความเข้าใจกับลูกด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตา มีเหตุผลกับลูก
1.2.4.3. สร้างความไว้วางใจกันภายในครอบครัวโดยไม่โกหกซึ่งกันและกัน
1.2.4.4. ไม่ใช้อารมณ์และความรุนแรงภายในครอบครัวหรือนำอารมณ์มาตัดสินปัญหาภายในครอบครัว
1.2.4.5. ให้การมีอิสระกับลูก ไม่เคร่งครัดในกฎระเบียบจนเกินไป
1.2.4.6. ให้คำสอนและคำแนะนำ ทางด้านความรักในวัยเรียนอย่างถูกต้องและเหมาะสม
1.2.4.7. ไม่นำความคิดของตนเองเป็นใหญ่และเป็นตัวตัดสิน โดยรับฟังความคิดเห็นของคนรอบข้างและลูก
1.2.4.8. ส่งเสริมความสัมพันธ์ภายในครอบครัวโดยการหากิจกรรมทำร่วมกัน เช่น รับประทานอาหารพร้อมกัน หาเวลาไปเที่ยวด้วยกัน และกิจกรรมอื่น ๆ ที่ทำภายในครอบครัว เป็นต้น
1.3. 3.มีการเผชิญปัญหาไม่เหมาะสม เนื่องจากยังไม่บรรลุนิติภาวะ
1.3.1. วัตถุประสงค์
1.3.1.1. มีการเผชิญปัญหาได้อย่างเหมาะสม
1.3.2. ข้อมูลสนับสนุน
1.3.2.1. S : กรณีศึกษาบอกว่า “หนูกับแฟนไม่มีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการตั้งครรภ์”
1.3.2.2. S : กรณีศึกษาบอกว่า “เคยอยู่ในที่ลับตาคนกับแฟน2ต่อ2แต่แฟนไม่ทำอะไร”
1.3.2.3. O : กรณีศึกษาชอบไปบ้านแฟนบ่อยๆโดยไม่บอกให้ผู้ปกครองทราบ
1.3.3. เกณฑ์ประเมินผล
1.3.3.1. ไม่เกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
1.3.4. กิจกรรมการพยาบาล
1.3.4.1. สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวไว้วางใจ
1.3.4.2. ให้ผูป่วยทำแบบประเมินความเครียด 2Q , 8Q , 9Q เพื่อเฝ้าระวังเมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ ได้
1.3.4.3. กระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดถึงความรู้สึกที่ทำให้เกิดความเครียด ความคับข้องใจ โดยพยาบาลเป็นผู้รับฟังที่ดี เพื่อค้นหาและทำความเข้าใจกับปัญหาหรือ ความขัดแย้งในใจ
1.3.4.4. เปิดโอกาสหรือกระตุ้นให้ผู้ป่วยพูดระบายความรู้สึกที่ของตนเอง ด้วยท่าที่เป็นมิตร และเข้าใจผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองไม่ได้อยู่คนเดียวและให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกที่มีออกมาให้เกิดความสบายใจ
1.3.4.5. อยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วย แสดงความเข้าใจผู้ป่วยด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและจริงใจ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่ามีคนเข้าใจผู้ป่วยและให้ผู้ป่วยรู้สึกไว้วางใจและระบายความเครียดออกมา
1.3.4.6. แนะนำการฝึกทักษะคลายเครียด เช่น การหาที่ปรึกษา การทำกิจกรรมนันทนาการ การหางานอดิเรกทำ การเลี้ยงบุตรหลาน ไหว้พระสวดมนต์ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ให้ผู้ป่วยอยู่คนเดียวและเกิดความเครียดและรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
1.3.4.7. แนะนำให้ผู้ป่วยนอนโดยการทำความสะอาดที่นอน หมอนไม่ควรแข็งเกินไปเพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับ จัดสถานที่เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวนทั้ง แสงและเสียง สวดมนต์ก่อนนอน เพื่อให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อนได้โดยปราศจากสิ่งมารบกวนการนอนหลับ
1.3.4.8. ติดตามอาการของผู้ป่วยเพื่อประเมินผลการพยาบาลและนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลต่อไปหากผู้ป่วยมีความเครียดที่ไม่ลดลง
1.4. 4.ส่งเสริมการให้คำปรึกษาแก่วัยรุ่น
1.4.1. วัตถุประสงค์
1.4.1.1. เพื่อให้วัยรุ่นมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ปกครอง
1.4.2. ข้อมูลสนับสนุน
1.4.2.1. s:กรณีศึกษาบอกว่า “หนูรู้สึกเครียดไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง”
1.4.2.2. s:กรณีศึกษาบอกว่า “ไม่มีใครรับฟังและเข้าใจหนูเลย”
1.4.2.3. s:กรณีศึกษาบอกว่า “ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวกับครอบครัวหรือผ่อนคลาย เลยมีอะไรก็จะปรึกษากับแฟน”
1.4.2.4. o:กรณีศึกษาชอบไปบ้านแฟนบ่อยๆโดยไม่บอกให้ผู้ปกครองทราบ
1.4.3. เกณฑ์การประเมินผล
1.4.3.1. ไม่มีภาวะเครียดและมีการเผชิญปัญหาอย่างเหมาะสม
1.4.4. กิจกรรมการพยาบาล
1.4.4.1. พูดคุยสร้างสัมพันธภาพกับวัยรุ่นเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ
1.4.4.2. รับฟังปัญหาต่าง ๆ เพื่อสำรวจปัญหาและความต้องการของวัยรุ่น
1.4.4.3. ให้คำปรึกษาโดยให้ข้อมูลที่เหมาะสมแก่วัยรุ่นและให้วัยรุ่นเป็นผู้ตัดสินใจโดยอยู่บนพื้นฐานของการรู้จักและเข้าใจตนเองและปัญหาต่างๆ
1.4.4.4. แนะนำการมองโลกในแง่บวก มองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก ต้องมีสติในการแก้ไขปัญหา
1.4.4.5. ส่งเสริมให้วัยรุ่นรู้จักการค้นหาตัวตนและส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง เพื่อเข้าใจปัญหาและรู้จักการจัดการปัญหาอย่างเหมาะสม
1.4.4.6. ติดตามผลการให้คำปรึกษาเพื่อนำไปสู่การวางแผนการพยาบาลต่อไป
2. INHOMESSS
2.1. I Immobility การเคลื่อนไหว
2.1.1. เด็กหญิงวัยรุ่น อายุ 17 ปี สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ ช่วยเหลือตนเองได้ อาบน้ำ ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ แต่งตัวเองได้ มีการพบปะกับเพื่อนต่างเพศหลายครั้ง ให้เวลากับเพื่อนต่างเพศ ไปเที่ยวและไปทำบุญด้วยกัน
2.2. N Nutrition อาหาร
2.2.1. เด็กหญิงวัยรุ่น อายุ 17 ปี • ชอบรับประทานก๋วยเตี๋ยว ผักและผลไม้เป็นประจำ • รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ • ดื่มน้ำ 8-9 แก้วต่อวัน ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่
2.3. H Housing สิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย
2.3.1. สิ่งแวดล้อมภายในบ้านเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีอากาศถ่ายเทสะดวก มีการจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ เป็นระเบียบ
2.3.2. บริเวณรอบบ้านมีต้นไม้ล้อมรอบ มีการปลูกพืชผักสวนครัว มีโต๊ะม้าหินหน้าบ้าน มีรั้วบ้านสูง ไม่มีพื้นที่น้ำขัง มีถนนหน้าบ้านเป็นซอยเข้าบ้านเล็กๆ
2.3.3. เพื่อนบ้านเป็นบ้านเดี่ยวมีต้นไม้ล้อมรอบ มีลักษณะคล้ายๆ กัน มีถนนหน้าบ้าน มีต้นไม้ขอบทางถนน
2.4. O Other people เพื่อนบ้าน
2.4.1. ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วย บิดา มารดา บุตรสาว โดยบิดา เป็นหัวหน้าครอบครัว บิดาจะจัดการ ควบคุม ดูแลทุกอย่างภายในบ้าน มีความขัดแย้งทางความคิดต่อกัน โดยบิดา มารดา อยู่ในช่วงวัยทำงาน ส่วนบุตรสาวอยู่ในช่วงวัยรุ่น
2.5. S Spiritual health ความเชื่อ ค่านิยมของสมาชิกในครอบครัว
2.5.1. ครอบครัวของเด็กหญิงวัยรุ่น อายุ 17 ปี นับถือศาสนาพุทธ ทำบุญกับเพื่อนต่างเพศ
2.6. M Medications การใช้ยา
2.6.1. ปฎิเสธการใช้ยา
2.7. E Examination การตรวจร่างกาย
2.7.1. คนในครอบครัวร่างกายแข็งแรง การแต่งกายสะอาด ไม่มีโรคประจำตัว
2.8. S Services แหล่งให้บริการ
2.8.1. มีทัศนคติที่ดีต่อสถานพยาบาลที่ไปรักษา
3. ปัญหาที่พบ
3.1. ครอบครัว
3.1.1. พ่อ แม่
3.1.1.1. พ่อ แม่ไม่เข้าใจลูก เรื่องลูกมีแฟน
3.1.1.1.1. พ่อกับแม่ให้อยู่ในกฏระเบียบมากเกินไป
3.1.1.1.2. ไม่มีการพูดคุยและแก้ไขเกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว
3.1.1.1.3. ความห่วงใยที่มีให้ลูก
3.1.2. ลูก
3.1.2.1. ลูกไม่เข้าใจพ่อแม่
3.1.2.2. ต้องโกหกพ่อ เพื่อได้ไปเที่ยวกับแฟน