ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
by Mint Laddawan
1. บทที่1
1.1. ความหลากหลายทางชีวภาพหรือชีวิต (biodiversity or life) หมายถึง กลุ่มสิ่งมีชีวิตกลุ่มพืชหรือ ทรัพยากรป่าไม้ กลุ่มสัตว์หรือทรัพยากรสัตว์ป่า กลุ่มจุลินทรีย์ ได้แก่ เชื้อรา แอกติโนมัยซิส แบคทรีเรีย ไวรัส 1.1 สิ่งมีชีวิต (Biotic Environment) หรือสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ (biological environment) หรือ ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) จัดเป็นสิ่งชีวิตที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือที่เรียกว่าความหลากหลาย ทางชีวภาพที่มีลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะตัวของสิ่งมีชีวิตโดยหน่วยทางพันธุกรรม เช่น พืช (ป่าไม้า สัตว์ สัตว์ ป่าหรือสัตว์น้ํา) จุลินทรีย์และมนุษย์ 1.2 สิ่งไม่มีชีวิต (Abiotic Environment) หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) หรือสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ (natural resource) จัดเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ไม่มีชีวิต ที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ทั้งที่มองเห็นได้และมองไม่เห็นได้ด้วยตา มีรูปร่าง เช่น ดิน น้ํา ก๊าซ อากาศ แร่ธาตุ เมฆ รังสี ความร้อน รังสี เป็นต้น
1.2. 2. สิ่งแวดล้อมประเภทมนุษย์สร้างขึ้น (Man-Make Environment) ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิต (ชีวิต) สิ่งไม่มีชีวิต (สิ่งแวดล้อม) ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ได้แก่ 2.1 สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ (Concrete Environment) ซึ่งสามารถแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ • สิ่งมีชีวิต เช่น พืชตัดต่อยืนหรือพืชจีเอ็มโอ (Genetically Modified Organisms: GM) สัตว์ที่เกิดจากการโคลนนิ่ง (Cloning) สิ่งไม่มีชีวิต เช่น หินสังเคราะห์ ไฟเบอร์กลาส การเพาะเนื้อเยื่อพืช บ้าน ถนน สะพาน รถ หัวเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ (antagonistic microbe) สารปรับปรุงดิน สาร สกัดชีวภาพ สารอาหารเสริมพืชและสัตว์มาตรฐานออร์แกนนิก
1.3. 1.3 กระบวนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process) ขั้นตอนที่ 1 การสังเกตและตั้งปัญหา (Observe and Problem) การสังเกตจัดเป็นทักษะแรกของ นักวิทยาศาสตร์ ในการสังเกตและสํารวจพื้นที่ภาคสนามจริง ทําให้มนุษย์ทราบปัญหาและความต้องการของ พื้นที่ พร้อมตั้งคําถามจากปัญหา เช่น ทําไมจึงเกิดปัญหา? สาเหตุของปัญหาและจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างไร? การ บริหารจัดการอย่างไร? “เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มการรักษาสภาพแวดล้อม เพิ่มการแปรรูป เพิ่มการจัดการ ร่วมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีจากพื้นที่แบบยั่งยืน ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล (Collecting data) การรวบรวมองค์ความรู้และบูรณาการศาสตร์และ ความเชื่อมโยงขององค์ความรู้พื้นฐานและประยุกต์ หลักนิเวศวิทยา หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อื่น ๆ จาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือ สื่ออิเลคทรอนิคส์ออนไลน์ ข้อมูลที่ศึกษาในอดีต (Data) และข้อเท็จจริง (Fact) อื่น ๆ เป็นต้น โดยข้อมูลที่รวบรวมจะต้องมีความสอดคล้องหรือสนับสนุนกับข้อสังเกตและปัญหาที่สังเกตหรือ สํารวจไว้อย่างมีเหตุมีผล ขั้นตอนที่ 3 การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) การตั้งสมมุติฐานหรือกรอบแนวคิดที่ดี ต้องมีลักษณะ สําคัญ ๆ ดังต่อไปนี้ คือ 1.1) สอดคล้องกับปัญหาที่วางไว้ ชี้แนะแนวทางการทดลอง สามารถนําไปทดลองได้ ดังตัวอย่างสมมติฐาน คือ เก้า (สาเหต) ดังนั้น ผลหรือสิ่งที่คาดคะเนหรือสิ่งที่ต้องการ คือ ..........ตัวอย่างเช่น ถ้าใส่หัวเชื้อราปฏิปักษ์ อัตรา 0.3 เปอร์เซ็นต์ผสมลงไปในแหล่งน้ําที่มีโลหะหนักตะกั่วปนเปื้อน น่าจะทําให้ลดปริมาณโลหะหนักตะกั่ว ปนเปื้อน เป็นต้น ขั้นตอนที่ 4 การทดลอง (Testing) การทดลองเป็นการพิสูจน์สมมุติฐานว่าจริงหรือเท็จ โดยนักวิจัยต้อง วางแผนการทดลอง 2 ชุด คือ ชุดทดลอง (experiment group) ที่มีการนําเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีร่วมในการ แก้ไขปัญหา ส่วนชุดควบคุม (Control group) ไม่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ดังตัวอย่างการวางแผนชุดทดลอง “การใส่หัวเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ 0.3 เปอร์เซ็นต์ และ 0.5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดของปริมาณโลหะหนักปรอทที่ปนเปื้อน ในน้ํา ส่วนชุดควบคุมไม่ใส่หัวเชื้อราปฏิปักษ์ลงไป” เป็นต้น ขั้นตอนที่ 5 การสรุป/การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของนวัตกรรมและเทคโนโลยีเปรียบเทียบกับการไม่ใช้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีการสรุปผลเป็นขั้นตอนที่จะบ่งชี้บอกว่าสมมุติฐานหรือกรอบแนวคิดที่วางไว้สอดคล้องกับผลการ ทดลองหรือไม่ ซึ่งข้อสรุป/การวิเคราะห์ผลที่ได้จากการทดลองนี้ว่า ข้อมูล (Data) แต่ถ้าหากทําการทดลอง ทดสอบสมมติฐานที่วางไว้หลาย ๆ ครั้ง ปรากฏว่าผลการทดลองสอดคล้องกับสมมุติฐานเสมอและมีความแบน จริงทุกครั้ง
2. ผลกระทบการไม่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ 1. ผลกระทบทางตรงที่มีต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตที่เป็นโครงสร้างในระบบนิเวศ ถ้าหากสิ่งมีชีวิตต้อง อาศัยอยู่ในแหล่งอาศัย บริเวณที่เกิดภาวะมลพิษสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางน้ํา มลพิษอากาศ มลพิษดิน และ มลพิษอื่น ๆ นั้น ย่อมส่งผลกระทบทําให้มนุษย์ มีโอกาสเกิดเป็นโรคต่าง ๆ 2. ผลกระทบทางอ้อมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เมื่อระบบนิเวศเกิดมลพิษสิ่งแวดล้อม ย่อมทําให้โครงสร้างมีความสัมพันธ์กัน อาทิ การเกื้อกูลกัน การพึ่งพาอาศัยร่วมกัน อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังเห็นได้จากการเกิดมลพิษทางน้ํา ย่อมทําให้ทรัพยากรธรรมชาติอากาศ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรสัตว์น้ําและ ทรัพยากรชายฝั่งทะเลได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากการเกิดมลพิษทางน้ํา จะปลดปล่อยก๊าซพิษ
3. บทที่3
3.1. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี แนวโน้มของทรัพยากรธรรมชาติในศตวรรษที่ 21 พบว่าอัตราการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติของโลก เพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตก สัตว์ป่าบางชนิดได้สูญพันธุ์ไป พื้นที่ป่าไม้ของโลกลดน้อยลง พื้นที่ทุ่งหญ้าถูกนํามาใช้ทําการ เพาะปลูกเป็นจํานวนมาก เกิดมลพิษสิ่งแวดล้อม แร่ธาตุบางชนิดเริ่มมีราคาสูงขึ้น ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่มนุษย์ใน ยุคศตวรรษที่ 21 นี้ต้องเร่งประชาสัมพันธ์การดําเนินการอนุรักษ์ร่วมกับเทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ แบบมีส่วนร่วม โดยการได้รับความร่วมมือจากประชาชน เอกชนและรัฐบาลอย่างดี เพื่อช่วยลดความรุนแรงและ ผลกระทบที่เกิดขึ้น จากการไม่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
3.2. การประชาสัมพันธ์แนวปฏิบัติที่ดีในการอนุรักรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกับนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เหมาะสมหรือเทคโนโลยีสะอาด ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น สืออิเลคทรอนิกส์ แอปพลิเคชั่น แผ่นพับ ชุดความรู้ หนังสือ Facebook หรือ Line เป็นต้น เพื่อขยายพื้นที่การดําเนินการอนุรักษ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทุกภาคส่วนได้ปฏิบัติที่ดีตามหลักนิเวศวิทยาและหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในยุคศตวรรษที่ 21 ทําให้ มนุษย์มีทรัพยากรธรรมชาติ สําหรับการทํางนในระบบนิเวศในสถานสภาพสมดุลธรรมชาติ และการดํารงชีพและการพัฒนาประเทศชาติแบบ ก้าวกระโดดแบบยั่งยืนตลอดไป ป่าไม้
4. สารประกอบอาหารที่หมุนเวียนในระบบนิเวศจะถูกหมุนเวียนแบบเป็นวัฏจักร โดยแหล่ง สารประกอบอาหารหรือธาตุที่ได้จากการย่อยสลายเศษซากพืชและสัตว์ หรือขยะอินทรีย์หรือวัสดุอินทรีย์ จาก โรงงานอุตสาหกรรมหรือชุมชน จะถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ปฏิปักษ์กลายเป็นสารประกอบอาหารหรือธาตุหรือ อนินทรีย์สารในรูปสารประกอบโมเลกุลเล็ก ๆ สําหรับพืช สัตว์จุลินทรีย์ดูดนําไปใช้ในสังเคราะห์แสง เร่งการ เติบโตเพิ่มภูมิคุ้มกัน อื่น ๆ หลังจากนั้นแหล่งอาหารหรือธาตุจะถูกหมุนเวียนไปยังผู้บริโภคลําดับต่างๆจนถึงผู้ ย่อยสลายผ่านห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหาร
5. ประเภทห่วงโซ่อาหาร ห่วงโซ่อาหารย่อยในสายใยอาหาร สามารถจําแนกประเภทห่วงโซ่อาหารตามบทบาทของแหล่งอาหาร เริ่มต้นได้ 3 ประเภท ดังนี้ คือ 1. ห่วงโซ่อาหารแบบจับกินหรือแบบผู้ล่า (Grazing food chain or predator food chain) จัดเป็นการ ถ่ายทอดสารอาหาร จากผู้ผลิต (แหล่งสารอาหาร) ไปยังผู้บริโภคพืช (ผู้บริโภคอันดับที่ 1) ไปยังผู้บริโภคสัตว์ (ผู้บริโภคอันดับที่ 2) และถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคซาก (ผู้บริโภคอันดับที่ 3) ตามลําดับ เช่น ผัก - แมลง - มนุษย์ + เชื้อรา หรือการถ่ายทอดแหล่งอาหารจากเหยื่อ (Pray) ไปยังผู้ล่า (Predator) เช่น ไม้ดอก + หนอน 4 แมลง 2. ห่วงโซ่อาหารแบบกินซาก (Detritus food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่แหล่งอาหารมาจากเศษซากพืช หรือซากสัตว์ (litter fall) ไปยังสัตว์กินซาก ไปยังจุลลินทรีย์ ตามลําดับขั้น เพื่อย่อยสลายอินทรีย์สารจากเศษซาก พืชและสัตว์ ให้กลายเป็นอินทรีย์สารหรือสารอาหารหรือธาตุในรูปที่เหมาะสม สําหรับการเติบโตของพืชและ สัตว์ต่อไป เช่น เศษซากใบไม้ร่วง เศษซากซากสัตว์ เชื้อรา + แบคทีเรีย แบคทีเรีย + อินทรีย์สารหรือสารอาหารหรือธาตุ + พชประเภทห่วงโซ่อาหาร ห่วงโซ่อาหารย่อยในสายใยอาหาร สามารถจําแนกประเภทห่วงโซ่อาหารตามบทบาทของแหล่งอาหาร เริ่มต้นได้ 3 ประเภท ดังนี้ คือ 1. ห่วงโซ่อาหารแบบจับกินหรือแบบผู้ล่า (Grazing food chain or predator food chain) จัดเป็นการ ถ่ายทอดสารอาหาร จากผู้ผลิต (แหล่งสารอาหาร) ไปยังผู้บริโภคพืช (ผู้บริโภคอันดับที่ 1) ไปยังผู้บริโภคสัตว์ (ผู้บริโภคอันดับที่ 2) และถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคซาก (ผู้บริโภคอันดับที่ 3) ตามลําดับ เช่น ผัก - แมลง - มนุษย์ + เชื้อรา หรือการถ่ายทอดแหล่งอาหารจากเหยื่อ (Pray) ไปยังผู้ล่า (Predator) เช่น ไม้ดอก + หนอน 4 แมลง 2. ห่วงโซ่อาหารแบบกินซาก (Detritus food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่แหล่งอาหารมาจากเศษซากพืช หรือซากสัตว์ (litter fall) ไปยังสัตว์กินซาก ไปยังจุลลินทรีย์ ตามลําดับขั้น เพื่อย่อยสลายอินทรีย์สารจากเศษซาก พืชและสัตว์ ให้กลายเป็นอินทรีย์สารหรือสารอาหารหรือธาตุในรูปที่เหมาะสม สําหรับการเติบโตของพืชและ สัตว์ต่อไป เช่น เศษซากใบไม้ร่วง เศษซากซากสัตว์ เชื้อรา + แบคทีเรีย แบคทีเรีย + อินทรีย์สารหรือสารอาหารหรือธาตุ + พช แบคทีเรีย 2 - อินทรีย์สารหรือสารอาหารหรือธาตุ" 3. ห่วงโซ่อาหารแบบพาราสิต (Parasitic food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่แหล่งอาหารมาจาก (Host) ถูกถ่ายทอดไปยังจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคกับผู้ถูกอาศัย เรียกว่า ปรสิต (Parasite) จึงทําให้ เป็นโรค เช่น หารมาจากผู้ถูกอาศัย แบคทีเรีย 2 - อินทรีย์สารหรือสารอาหารหรือธาตุ" 3. ห่วงโซ่อาหารแบบพาราสิต (Parasitic food chain) เป็นห่วงโซ่อาหารที่แหล่งอาหารมาจาก (Host) ถูกถ่ายทอดไปยังจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคกับผู้ถูกอาศัย เรียกว่า ปรสิต (Parasite) จึงทําให้ เป็นโรค เช่น หารมาจากผู้ถูกอาศัย
6. ลักษณะรูปแบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตในระบบนิเวศที่ เป็นลักษณะเฉพาะๆสามารถจําแนกได้ 7 รูปแบบ คือ 1. การพึ่งพา (Mutualism) (+, +) เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่อาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน โดย ที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองได้รับประโยชน์ร่วมกันและต้องอาศัยอยู่ร่วมกันตลอดไปจึงจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้า หากแยกออกจากกัน สิ่งมีชีวิตทั้งสองไม่สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ เช่น เชื้อรากับสาหร่าย ที่อยู่รวมกัน เรียกว่า “ไล เคน” โดยสาหร่ายให้อาหารต่อเชื้อรา ในขณะเดียวกันเชื้อราให้ความชื้นแก่สาหร่าย หรือแบคทีเรียในลําไส้มนุษย์ เชื้อราไมคลอไรซา (mycorrhiza) บริเวณรากต้นสนสองใบ เป็นต้น 2. การได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Protocooperation) (+ +) เป็นความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ ทั้งสองชนิดแต่ไม่จําเป็นต้องอาศัยอยู่ร่วมกันตลอดไป สามารถแยกกันอยู่ได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบ เช่น ดอกไม้ กับผีเสื้อ โดยที่คอกไม้ได้ประโยชน์จากผีเสื้อในการถ่ายละอองเรณูเพื่อช่วยในการขยายพันธุ์ ขณะเดียวกันผีเสื้อ ได้รับน้ําหวานจากดอกไม้ 3. การเกื้อกูล (Commensalism) (1,0) เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้ประโยชน์ สิ่งมีชีวิตหนึ่ง ไม่ได้และไม่เสียประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกัน เช่น กล้วยไม้บนต้นไม้ใหญ่บริเวณริมถนนแถวสนามหลวง ต้นกระเช้าสีดาบนต้นไม้มะขามในสวนหย่อม เป็นต้น 4. ผู้ล่า (Predation) (+,-) เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งเสียประโยชน์ เรียกว่า เหยื่อ (prey) แต่ สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ เรียกว่าผู้ล่า (predator) แต่ไม่ทําให้สิ่งมีชีวิตที่เสียประโยชน์เป็นโรค ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นการควบคุมชนิด จํานวน และปริมาณองค์ประกอบของระบบนิเวศไม่ให้น้อยหรือมาก เกินไปนั้นคือ เมื่อผู้ล่ามีจํานวนน้อย ก็จะพบว่าจํานวนเหยื่อก็จะมากขึ้น และเมื่อจํานวนผู้ล่ามาก จํานวนเหยื่อก็ จะมีจํานวนน้อย ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้ระบบนิเวศอยู่ในสภาวะสมดุลธรรมชาติ เช่น มนุษย์กินหนูนา เสือล่ากระต่าย เป็นต้น 5. ปรสิต (Parasitism) (+ -) เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเสียประโยชน์ เรียกว่าผู้ให้อาศัย (host) (-) และสิ่งมีชีวิตที่เสียประโยชน์เป็นโรค แต่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต (parasite) (+) เช่น ไวรัสในตัวมนุษย์ เชื้อราบนต้นโกงกางบริเวณป่าชายเลน แมลงกินผักในสวนผัก เป็นต้น 6. การไม่ได้และไม่เสียผลประโยชน์ (Neutralism) (0, 0) เป็นการที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดสามารถอยู่รวมกัน ในระบบนิเวศได้โดยไม่ได้และไม่เสียผลประโยชน์ เช่น มนุษย์กับแมว เสือกับต้นไม้ เป็นต้น 7. การแข่งขัน (Competition) (- -) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดที่ต่างฝ่ายต่างเสีย ประโยชน์ทั้งคู่ (- -) เช่น การแข่งขันเพื่อแย่งที่อยู่อาศัยในบริเวณเดียวกันของสิ่งมีชีวิตสองชนิด ทําให้สิ่งมีชีวิตทั้ง ต้องเจริญเติบไม่เต็มที่ เช่น การอาศัยของเชื้อราสองชนิคในจานอาหารเลี้ยงเชื่อเดียวกัน การอยู่ร่วมกันของผักบุ้ง กับผักตบชวาบริเวณแม่น้ําลําคลอง เป็นต้น
7. -
8. บทที่2