1. SLE คือป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายมีความผิดปกติ โดยภูมิคุ้มกันจะต่อต้านและทำลายเนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ จนเกิดเป็นอาการอักเสบเรื้อรัง ทำให้มีอาการป่วยรู้สึกเหนื่อยล้า มีผื่นแดงตามใบหน้า ตาแห้ง ตัวบวม ขาบวม ปวดหัว ปวดบวมตามข้อต่อกระดูก ผมร่วง
2. อาการ อาการของโรคมีได้ตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีน้อยมากแค่รู้สึกอ่อนเพลีย จนถึงมีอาการรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะถึงแก่กรรมได้ อาการอาจเกิดขึ้นทีละอย่าง หรือ หลายอย่างหรือเกิดขึ้นพร้อมกันหมดก็ได้ ระบบที่มีความผิดปกติที่พบบ่อย คือ ผิวหนัง, ข้อ และไต
2.1. 1.อาการทั่วไป อาการทั่วไป มี อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง ครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้ เป็น ๆ หาย ๆ
2.2. 2.อาการทางผิวหนัง อาการทางผิวหนัง มี ผื่นแดงที่หน้าบริเวณโหนกแก้ม แพ้แดด ผมร่วง แผลที่ริมฝีปากและข้างในปาก ลมพิษ จุดแดงตามผิวหนังโดยเฉพาะที่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ปวดปลายนิ้วมือเท้าเวลาถูกความเย็น
2.3. 3.อาการทางระบบข้อ กล้ามเนื้อ และกระดูก อาการปวด บวม แดง และร้อน เป็นได้กับข้อต่าง ๆ ทั่วตัว แล้วตามด้วยอาการข้อแข็งตอนเช้า มีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออักเสบ และกระดูกเสื่อม
2.4. 4.อาการทางไต อาการทางไตพบได้บ่อย มี บวม ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะน้อยลง และอาการที่เกิดจากภาวะไตวาย
2.5. 5.อาการทางระบบประสาท มีอาการทางระบบประสาท ตั้งแต่ปวดศีรษะ ชัก ซึมจนถึงหมดสติได้ นอกจากนั้นก็อาจมีเลือดออกในสมอง อัมพฤกษ์ และอัมพาต ส่วนทางด้านจิตใจก็มีการเปลี่ยนแปลงด้วย อาจมีอาการซึมเศร้า สับสนจนพูดไม่รู้เรื่อง
2.6. 6.อาการทางเลือด จากการที่มีภูมิต่อต้านเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ทำให้มีการทำลายเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด ทำให้เกิดอาการซีด ติดเชื้อง่ายเพราะเม็ดเลือดขาวลดลง และเลือดออกง่ายเพราะเกร็ดเลือดลดลง
2.7. 7.อาการทางระบบทางเดินหายใจ อาจพบอาการเหนื่อย เจ็บเสียวหน้าอก ไอ
2.8. 8.อาการทางระบบทางเดินอาหาร มีอาการปวดท้องซึ่งอาจเกิดจากมีการอักเสบของลำไส้หรือตับอ่อน
3. ภาวะแทรกซ้อน ภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยจนอาจส่งผลกระทบต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายใน ได้แก่
3.1. 1.เลือด อาจเกิดภาวะโลหิตจาง เสี่ยงต่อการเสียเลือด การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และการติดเชื้อในกระแสเลือด
3.2. 2.ปอด อาจเกิดเยื่อหุ้มปอดอักเสบที่สร้างความเจ็บปวดในขณะหายใจ และเสี่ยงต่อปอดอักเสบได้
3.3. 3.ไต อาจเกิดความเสียหายจากการอักเสบภายใน หรืออาจเกิดภาวะไตวายที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
3.4. 4.หัวใจ อาจเกิดการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดแดง และเยื่อหุ้มหัวใจ เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน
3.5. 5.สมองและระบบประสาทส่วนกลาง อาจเกิดอาการที่มีความรุนแรงน้อยไปจนรุนแรงมาก ตั้งแต่ปวดหัว เวียนหัว มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป มีปัญหาด้านความจำ ประสาทหลอน เป็นโรคหลอดเลือดสมอง ตลอดจนเกิดภาวะชัก
4. ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
4.1. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อภาวะซีดเนื่องจากภูมิคุ้มกันทำลายเม็ดเลือดแดง
4.1.1. ข้อมูลสนับสนุน
4.1.1.1. Hct = 22% (33-45%)
4.1.1.2. Hb = 7.4 g/dl (12-15 g/dl)
4.1.1.3. MCH = 26.1 pg/cell (27.5-33.2 pg/cell)
4.1.1.4. RDW = 16.3% (11.5-14.5%)
4.1.2. วัตถุประสงค์
4.1.2.1. ผู้ป่วยไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน
4.1.2.2. ป้องกันการเกิดภาวะซีดรุนแรง
4.1.3. เกณฑ์การประเมิน
4.1.3.1. Hct > 22%
4.1.3.2. Hb > 7.4 g/dl
4.1.3.3. MCH > 26.1 pg/cell
4.1.3.4. RDW > 16.3%
4.1.3.5. RR อยู่ในค่าปกติ คือ 16-24/min
4.1.4. การพยาบาล
4.1.4.1. ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
4.1.4.2. ประเมินภาวะซีดของผู้ป่วย เช่น เหนื่อยง่าย ตัวซีด อ่อนเพลัย มือเท้าเย็น
4.1.4.3. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนในกรณีมีภาวะซีดรุนแรง
4.1.4.4. ดูแลให้ได้รับการรับเลือดในกรณีที่ซีดรุนแรง
4.1.4.5. ดูแลให้นอนหลับเพียงพอและจำกัดการทำกิจกรรมของผู้ป่วย
4.1.4.6. รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก วิตามิน B12 และกรดโฟลิค เช่น ผักใบเขียว ถั่ว นม โยเกิร์ต
4.1.4.7. ติดตามผลตวรจทางห้องปฏิบัติการ
4.1.4.7.1. Hct
4.1.4.7.2. Hb
4.1.4.7.3. MCH
4.1.4.7.4. RDW
4.2. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่ 1 มีการติดเชื้อรุนแรงเนื่องจากเม็ดเลือดขาวต่ำ
4.2.1. ข้อมูลสนับสนุน
4.2.1.1. WBC = 2460/cu.mm (5000-10000/cu.mm)
4.2.1.2. Neutrophil = 47% (55-70%)
4.2.1.3. Absolute Neutrophil Count = 1156 (2500-8000)
4.2.2. วัตถุประสงค์
4.2.2.1. เพื่อลดภาวะติดเชื้อ
4.2.3. เกณฑ์การประเมิน
4.2.3.1. WBC > 2460/cu.mm
4.2.3.2. Neutrophil > 47%
4.2.3.3. Absolute Neutrophil count > 1156
4.2.3.4. อุณหภูมิอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
4.2.4. การพยาบาล
4.2.4.1. ประเมินสัณณาญชีพทุก 4 ชั่วโมง
4.2.4.2. จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาด เพื่อลดการติดเชื้อ กรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงหรือภูมิคุ้มกันต่ำ จัดให้อยู่ห้องแยก
4.2.4.3. ล้างมือก่อนและหลังให้การพยาบาลหรือสัมผัสผู้ป่วย ให้การพยาบาลโดยใช้หลัก Aseptic techique
4.2.4.4. ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
4.2.4.5. ดูแลให้ผู้ป่วยนอนหลับได้เพียงพอ
4.2.4.6. ดูแลให้ได้รับสารน้ำตามแผนการรักษา
4.2.4.7. แนะนำให้ผู้ป่วยและญาติรู้วิธีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย
4.2.4.8. ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4.2.4.8.1. WBC
4.2.4.8.2. Neutrophil
4.2.4.8.3. Absolute Neutrophil Count
4.3. ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อภาวะไตอักเสบเนื่องจากมีโปรตีนในปัสสาวะสูง
4.3.1. ข้อมูลสนับสนุน
4.3.1.1. ESR = 78mm/hr (กรณีผู้ป่วยหญิงอายุ 39 ปี ค่าปกติคือ 20 mm/hr)
4.3.1.2. Protein urine = 589 mg/24hrs (น้อยกว่า 150 mg/24hrs)
4.3.2. วัตถุประสงค์
4.3.2.1. เพื่อลดระดับโปรตีนในปัสสาวะ
4.3.3. เกณฑ์การประเมิน
4.3.3.1. ESR < 78 mm/hr
4.3.3.2. Protein urine < 589 mg/24hrs
4.3.4. การพยาบาล
4.3.4.1. ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อเฝ้าระวังภาวะความดันโลหิตสูง
4.3.4.2. บันทึกปริมารสารน้ำเข้า-ออก ทุก 8 ชั่วโมง
4.3.4.3. ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
4.3.4.4. ดูแลให้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
4.3.4.5. แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม และมีโพแทสเซียมสูง
4.3.4.6. ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
4.3.4.7. ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
4.3.4.7.1. ESR
4.3.4.7.2. Protein urine