1. ความรู้กับการเเก้ปัญหา
1.1. ความรู้พื้นฐาน
1.1.1. ผู็เเก้ปัญหาควรมีความรู็พื้นฐานหลายๆ ด้านได้เเก่ความรุ้ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ตัวอย่างการนำความรู้พื้นฐานมาพัฒนาเทคโนโลยี เช่น การออกเเบบประตูห้องต่างๆ
1.2. ความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน
1.2.1. นอกจากความรู้พื้นฐานที่กล่าวมาข้างต้นในการเเก้ปัญหาใดๆ จำเป็นต้องใช้ความรู้เเละทักษะในการปฏิบัติงาน เช่น ความรู้เกี่ียวกับข้อบังคับต่างๆ ทางกฎหมาย รวมถึงแนวปฏิบัติ คุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน และทักษะที่จำเป็น เช่น การสื่อสาร การคิดเชิงระบบ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทำงานร่วมกับผู้อื่น
2. การคิดเชิงออกเเบบกับการเเก้ปํญหา
2.1. การระบุและตีความปัญหา
2.1.1. ผลลัพธ์หรือปลายทางของการระบุเเละตีความปัญหา คือ ผู็เเก้ปัญหามีความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งโดยสามารถระบุสาเหตุ สาระสำคัญ เหตุการณ์เเละบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การสร้างวิธีการหรือสิ่งประดิษฐ์เพื่อเปลี่ยนเเปลงหรือกำจัดสาเหตุนั้น
2.2. การพัฒนาแนวคิด
2.2.1. เมื่อผู้เเก้ปัญหาเข้าใจสาเหตุ ข้อจำกัด มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับปัญหา เเละมีความรู้ที่จำเป็นในการเเก้ปัญหาเเล้ว ผู้เเก้ปัญหาจำนำข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาเเละพัฒนาเเนวคิดในการเเก้ปัญหา คำถามที่ผู็เเก้ปัญหาต้องพยายามหาคำตอบในกระบวนการย่อยนี้คือ จะเเก้ปัญหาอย่างไร โดยอาจจะเริ่มจากการพิจารณาหน้าที่ องค์ประกอบ หรือสภาวะเเวดล้อมของวิธีการรือสิ่งประดิษฐ์ที่จะสร้างเพื่อเเก้ปัญหา
2.3. การสร้างเเนวทางก่ีเเก้ปัญหา
2.3.1. หลังจากได้เเนวคิดในการเเก้ปัญหา กระบวนการถัดไปคือการนำเเนวคิดนั้นมาสร้างให้เป็นจริงโดยอาจสร้างเป็นต้นแบบ(prototype)เเละนำไปทดสอบกับผู้ใช้เพื่อรับข้อมูลย้อนกลับ หรือนำไปทอสอบในสถานการณ์จริงเเละเก็บข้อมูลผลการทดสอบ