1. ผู้เขียน
1.1. Mary Buffett
1.1.1. อดีตลูกสะใภ้ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)
1.1.2. เธอได้เรียนรู้วิธีคิดและวิธีอ่านงบการเงินจากวอร์เรน บัฟเฟตต์ จึงนำมาถ่ายทอดเป็นหนังสือเล่มนี้
1.2. David Clark
2. ข้อคิดสำคัญ
2.1. เลือกหุ้นที่ดีแล้วถือไปเรื่อยๆ โดยไม่ขาย ยกเว้นเจอหุ้นที่ดีกว่า บริษัทพื้นฐานเปลี่ยน หรือเกิดฟองสบู่
2.2. บริษัทที่ดีควรมียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น อย่างสม่ำเสมอ และมี Profit Margin สูง
2.3. อย่าลงทุนในบริษัทที่ต้นทุนค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ย หรือค่าวิจัยและพัฒนาสูง
2.4. เลือกบริษัทที่หนี้สินน้อย
2.5. เลือกบริษัทที่ กำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity, ROE) สูง
2.6. เวลาดูกระแสเงินสด ให้เลือกบริษัทที่ "เงินลงทุนที่ดิน โรงงาน อุปกรณ๊"/กำไรสุทธิ ต่ำ
3. วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) คือใคร?
3.1. นักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี และสนใจการลงทุนขึ้นมา
3.2. ตั้งแต่เป็นเด็กอายุ 13 ขวบ บัฟเฟตต์ก็เริ่มหัดเป็นเถ้าแก่ เขาซื้อเครื่องพินบอลเครื่องละ $25 มาตั้งในร้านตัดผม ไม่นานเขาก็ขยายธุรกิจจนมี 7 เครื่อง
3.3. ในปี 2017 มีคนยอมจ่ายเงิน $3.7 ล้าน เพื่อทานข้าวกลางวันกับปู่บัฟเฟตต์ (เงินก้อนนี้ถูกบริจาคเข้ากองทุนช่วยคนยากจน)
3.4. ผลตอบแทนปีละ 30% ในยุคทองช่วงอายุ 30-40 และผลตอบแทนปีละ 20% ตลอดชีวิตการลงทุนกว่า 60 ปี ในปี 2018 เขามีทรัพย์สิน 88 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ได้บริจาคเงินไปแล้วกว่า 40 พันล้านดอลลาร์
4. วอร์เรน บัฟเฟตต์ คิดยังไงเกี่ยวกับงบการเงิน
4.1. "Accounting is the language of business. Getting comfortable in a foreign language takes a little experience, a little study, early on, but it pays off big later on."
4.1.1. งบการเงินคือภาษาของธุรกิจ ซึ่งเรียนยากหน่อย แต่จะทำกำไรให้คุณมหาศาล
5. ผลประกอบการต้องสม่ำเสมอ
5.1. ดูตรงไหนบ้าง
5.1.1. กำไรเติบโตสม่ำเสมอ
5.1.2. มียอดขายเติบโตสม่ำเสมอ
5.1.2.1. กำไร = ยอดขาย - ต้นทุน
5.1.3. มีต้นทุนลดลงอย่างสม่ำเสมอ
5.1.3.1. การที่ต้นทุนลดลง ต้องคิดเทียบกับยอดขาย
5.1.3.1.1. เช่น แบบนี้ถือว่าต้นทุนลดลง
5.1.3.1.2. ต้นทุน 20, ยอดขาย 100 (ต้นทุน 20%) -> ต้นทุน 30, ยอดขาย 200 (ต้นทุน 15%)
5.1.3.2. ลดต้นทุนการผลิต
5.1.3.3. ลดต้นทุนโลจิสติกส์
5.1.3.4. ลดต้นทุนค่าการวิจัยและพัฒนา
5.1.3.5. ลดต้นทุนค่าการตลาด
5.1.3.5.1. ถ้าค่าการตลาดน้อยลง แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าบริษัทมีธุรกิจที่แข็งแกร่ง ลูกค้ากลับมาซื้อเองโดยไม่ต้องลงโฆษณา
5.2. เป้าหมาย
5.2.1. เฟ้นหาธุรกิจที่จะ "ยังอยู่ไปอีก 50 ปี"
5.2.1.1. เช่น โค้กน่าจะยังขายดีไปอีก 50 ปี แต่เฟซบุ๊กนี่ไม่แน่ เป็นต้น
5.2.1.2. เทียบกับบริษัทไทยที่คล้าย "โค้ก" เช่นคาราบาว (CBG) หรือ โอสถสภา (OSP) ก็เป็นธุรกิจเครื่องดื่มที่มีแบรนด์แข็งแกร่งยั่งยืน
5.2.1.2.1. นี่ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อหุ้นแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเองก่อนการตัดสินใจลงทุน
5.2.2. เลือกธุรกิจที่จะ "Compound" กำไรให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5.2.2.1. Compound = ใช้กำไรปีนี้ไปขยายธุรกิจต่อ เพื่อเพิ่มกำไรปีหน้า และเพิ่มแบบนี้เรื่อยๆ ทุกปี
5.2.2.1.1. เช่น เพิ่มแบบ 2 4 8 16 32 64 128 256 512 1024
5.2.2.1.2. ถ้าเพิ่มกำไร 2 เท่าทุกปี ต่อเนื่อง 10 ปี จะมีกำไร 1,000 เท่า
5.2.2.2. ถ้ากำไรสูงขึ้นปีละ 20% ต่อเนื่องสัก 10 ปีก็จะสูงขึ้น 6 เท่า
5.2.2.3. ถ้ากำไรปีนี้สูงขึ้น 30% แล้วปีหน้าลดลง 10% เมื่อผ่านไป 10 ปีกำไรจะสูงขึ้นแค่ 2 เท่า
6. วอร์เรน บัฟเฟตต์ ดูอะไรในงบกำไรขาดทุน
6.1. ตัวอย่างงบกำไรขาดทุนบริษัท ADVANC ปี 2557-2560 (หน่วยล้านบาท)
6.1.1. Gross Profit Margin สูง ซึ่งดี แต่ค่านี้ต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งไม่ดี
6.1.2. Net Profit Margin สูง ซึ่งดี แต่ค่านี้ต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งไม่ดี
6.1.3. ยอดขายเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งดี แต่กำไรคงที่ ซึ่งไม่ดี
6.1.4. ถ้าดูจากแค่นี้ หุ้น ADVANC จึงเป็นหุ้นกลางๆ มีข้อดีและข้อเสียปนกัน
6.1.4.1. นี่ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อหรือขายหุ้นแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเองก่อนการตัดสินใจลงทุน
6.2. งบกำไรขาดทุนบอกยอดขาย/ต้นทุน
6.2.1. ยอดขายกับต้นทุนมีหลายประเภท ซึ่งแบ่งย่อยอยู่ในงบกำไรขาดทุน
6.3. ดูว่ายอดขายและกำไรเติบโต ต่อเนื่องทุกปี
6.4. Gross Profit Margin สูงอย่างสม่ำเสมอ
6.4.1. คำนวณจาก "กำไรขั้นต้น/ยอดขาย" (คิดเป็น %)
6.4.1.1. กำไรขั้นต้น หักแค่ต้นทุนสินค้า/บริการ เช่น ซื้อของมา 60 ขายได้ 100 ดังนั้นกำไรขั้นต้นคือ 100 - 60 = 40
6.4.2. ความคิดเห็นของบิงโก
6.4.2.1. Gross Profit Margin จะไม่เท่ากันในธุรกิจต่างๆ ค่านี้จะสูงหรือไม่ต้องเทียบกับบริษัทคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน
6.5. Net Profit Margin สูงอย่างสม่ำเสมอ
6.5.1. คำนวณจาก "กำไรสุทธิ/ยอดขาย" (คิดเป็น %)
6.5.1.1. กำไรสุทธิ ได้จากเราหักต้นทุนทุกอย่างแล้ว เช่น กำไรขั้นต้นคือ 40 แต่ยังมีค่าแรงลูกน้องอีก 20 และภาษีอีก 5 จึงเหลือกำไรสุทธิ 40 - 20 - 5 = 15
6.5.2. ความคิดเห็นของบิงโก
6.5.2.1. Net Profit Margin จะไม่เท่ากันในธุรกิจต่างๆ ค่านี้จะสูงหรือไม่ต้องเทียบกับบริษัทคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน
6.6. อย่าลงทุนในบริษัทที่ต้นทุนค่าเสื่อมราคา ดอกเบี้ย หรือค่าวิจัยและพัฒนาสูง
6.6.1. ค่าใช้จ่ายพวกนี้บ่งบอกว่า บริษัทจะ "อยู่ไม่ได้ถ้าไม่จ่ายต้นทุนพวกนี้ไปตลอด"
7. วอร์เรน บัฟเฟตต์ ดูอะไรในงบดุล
7.1. ตัวอย่างงบดุลของบริษัท ADVANC ปี 2557-2560 (หน่วยพันล้านบาท)
7.1.1. หนี้สินพอสมควรเทียบกับสินทรัพย์ แต่ไม่มากเกินไป ถือว่ากลางๆ
7.1.2. ค่า ROE ในปีเก่าๆ สูงมาก ซึ่งดีมาก แต่ค่านี้กำลังลดลงเรื่อยๆ ซึ่งไม่ดี
7.1.3. ถ้าดูจาก ROE หุ้น ADVANC คือหุ้นชั้นยอด แต่ความยอดเยี่ยมนั้นกำลังลดลงเรื่อยๆ
7.1.3.1. นี่ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อหรือขายหุ้นแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเองก่อนการตัดสินใจลงทุน
7.2. งบดุลคืองบแสดงสินทรัพย์ + หนี้สิน
7.2.1. งบดุลจะบอกจำนวนเงินสด ที่ดิน สินค้าคงคลัง หนี้สิน ฯลฯ
7.2.2. งบดุลมี 3 ส่วน
7.2.2.1. สินทรัพย์ (แตกย่อยได้หลายบรรทัด)
7.2.2.1.1. เช่นเงินสด สินค้าคงคลัง
7.2.2.2. หนี้สิน (แตกย่อยได้หลายบรรทัด)
7.2.2.2.1. เช่น หนี้สินระยะสั้น หนี้สินระยะยาว
7.2.2.3. ส่วนของผู้ถือหุ้น (แตกย่อยได้หลายบรรทัด)
7.2.2.4. ตามกฎทางบัญชี "สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น" เสมอ
7.3. หาบริษัทที่หนี้สินน้อย
7.3.1. บริษัทที่ดีมากจริงๆ จะมีหนี้สินน้อย เพราะแค่กำไรก็พอขยายธุรกิจ โดยไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม
7.4. กำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้น (Return on Equity, ROE)
7.4.1. บริษัทดีควรมี ROE > 20%
7.4.2. คำนวณจาก "กำไรสุทธิ/ส่วนของผู้ถือหุ้น" (คิดเป็น %)
7.4.2.1. ส่วนของผู้ถือหุ้น = สินทรัพย์ - หนี้สิน
8. วอร์เรน บัฟเฟตต์ ดูอะไรในงบกระแสเงินสด
8.1. ตัวอย่างงบกระแสเงินสดของบริษัท ADVANC ปี 2557-2560 (หน่วยพันล้านบาท)
8.1.1. สัดส่วน "เงินลงทุนที่ดิน โรงงาน อุปกรณ๊"/กำไรสุทธิ สูงมาก ซึ่งไม่ดี
8.1.2. ถ้าดูจากแค่นี้ ADVANC เป็นบริษัทที่ต้องลงทุนสูงมาก จึงเป็นบริษัทที่ไม่ดี
8.1.2.1. นี่ไม่ใช่คำแนะนำให้ซื้อหรือขายหุ้นแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเองก่อนการตัดสินใจลงทุน
8.1.2.2. เราสามารถตีความต่อได้ จากการที่ ADVANC มี ROE กับ Margin สูงแต่ลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่ต้องลงทุนสูงมากในช่วงหลัง
8.1.2.2.1. นี่แสดงว่า ADVANC เคยเป็นบริษัทที่ดีมาก แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจ จึงต้องลงทุนสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งจะส่งผลต่อกำไรและการเติบโตในระยะยาวต่อไป
8.2. งบกระแสเงินสดจะบอกว่าบริษัทมีเงิน เข้า-ออกเท่าไรบ้าง
8.2.1. งบกระแสเงินสดมี 3 ส่วน
8.2.1.1. เงินสดจากการดำเนินงาน
8.2.1.1.1. คล้ายกำไร แต่ต่างกันตรงที่กระแสเงินสดดูที่ตัวเงิน ส่วนกำไรคิดตามหลักบัญชี
8.2.1.1.2. เช่น ถ้าขายของได้แต่ยังเก็บเงินไม่ได้ นับเป็นกำไร แต่ไม่นับรวมในกระแสเงินสด (จนกว่าจะเก็บเงินได้)
8.2.1.2. เงินสดจากการลงทุน
8.2.1.2.1. ยิ่งลงทุนยิ่งติดลบ (เงินสดไหลออก)
8.2.1.3. เงินสดจากการจัดหาเงิน (กู้)
8.2.1.3.1. กู้เงินเป็นบวก คืนเงินกู้เป็นลบ
8.2.1.4. เงินสดปลายปี = เงินสดต้นปี + กระแสเงินสดรวม (1 + 2 + 3)
8.3. ดูสัดส่วน "เงินลงทุนที่ดิน โรงงาน อุปกรณ๊"/กำไรสุทธิ
8.3.1. ถ้าเกิน 50% ถือว่าไม่ดี
8.3.2. ยิ่งน้อยยิ่งดี
8.3.2.1. แสดงว่าบริษัทไม่ต้องลงทุนมาก เหลือกำไรเยอะ
9. จังหวะขายหุ้น
9.1. วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบถือหุ้น "ตลอดกาล" โดยไม่ขาย ยกเว้นกรณีพิเศษ 3 ข้อเท่านั้น
9.1.1. เจอโอกาสที่ดีกว่า จึงต้องการเงินไปลงทุนตรงนั้น
9.1.1.1. เช่น ตอนที่เกิดวิกฤติ หุ้นดีๆ จะราคาลงมาเยอะมาก จึงมีโอกาสให้ซื้อ
9.1.2. ธุรกิจนั้นกำลังเปลี่ยน บริษัทสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
9.1.3. เกิดฟองสบู่ ซึ่งปั่นราคาหุ้นไปสูงมาก
9.1.3.1. ต่อให้คุณถือหุ้นที่ดี แต่เกิดฟองสบู่จนราคาขึ้นไปสูง คุณอาจขายหุ้นนั้นเพื่อทำกำไร
9.1.3.2. ถ้า P/E > 40 คุณควรเริ่มขายได้แล้ว
10. โมเดลธุรกิจ 3 แบบที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบ
10.1. ขายสินค้าที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง
10.1.1. เช่น โค้ก, ช็อคโกแลต Hershey, และเบียร์ Budweiser
10.1.2. ลูกค้ายอมจ่ายแพงเพื่อซื้อของที่ชอบ
10.2. ขายสินค้าต้นทุนต่ำราคาถูก
10.2.1. เช่น Amazon, Walmart ซึ่งขายสินค้าต้นทุนต่ำ
10.2.1.1. บิงโกมีบทความเกี่ยวกับยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซ Amazon ดูได้ที่นี่ https://bingobook.co/book-summary/everything-store
10.2.1.2. บิงโกมีบทความเกี่ยวกับเจ้าพ่อห้างสรรพสินค้า Walmart ดูได้ที่นี่ https://bingobook.co/book-summary/sam-walton
10.2.2. ในไทย เราอาจมองว่าบริษัท CPF ขายไก่ราคาถูกชนิดที่คู่แข่งสู้ยาก
10.3. ขายบริการที่หาที่ไหนไม่ได้
10.3.1. เช่น Visa (หนึ่งในผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่) ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจที่ผู้เล่นน้อยราย