1. 3.แนวทางการพิจารณาเนื้อหาก่อนเผยแพร่ข้อมูล
1.1. ความเป็นส่วนตัว
1.1.1. ต้องเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลว่าข้อมูลนั้นเกี่ยวกับใครหรือองค์กรใด สามารถเปิดเผยต่อผู้อื่นได้หรือไม่ ภายใต้เงื่อนไขใดและด้วยมาตรการป้องกันอย่างไร
1.2. ความถูกต้อง
1.2.1. ข้อมูลที่ใช้้หรือนำเสนอต้องมีความถูกต้อง มีความน่าเชื่อถือ และต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดของข้อมูล ดังนั้นต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนที่จะนำไปใช้หรือเผยแพร่
1.3. ทรัพย์สินหรือความเป็นเจ้าของ
1.4. การเข้าถึง
1.4.1. เป็นการกำหนดหรือระบุให้บุคคลหรือองค์กรใดมีสิทธิ์หรือสิทธิพิเศษในการเข้าถึงหรือได้รับ
2. 4.การสร้างและแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของผลงาน
2.1. การใส่ชื่อ
2.2. การระบุสัญลักษณ์
2.3. การใส่ลายน้ำ
2.4. ระบุเงื่อนไขการอนุญาตให้ผู้อื่นนำไปใช้งานได้
3. 5. มารยาทในการติดต่อสื่อสาร
3.1. มารยาทในการใช้อีเมล
3.1.1. ใช้ภาษาสุภาพ ชัดเจน ตรงประเด็น เหมาะสมกับกาละเทศะหรือผู้ที่จะสื่อสารด้วย
3.1.2. ใช้ตัวอักษรหนาเฉพาะตัวที่จะเน้นเท่านั้น
3.1.3. ระบุหัวเรื่อง ชื่อผู้ที่จะสื่อสารด้วย และระบุตัวตนของผู้ส่งอีเมลให้ชัดเจน
3.1.4. ระบุชื่อหรือตำแหน่งของผู้ที่จะสื่อสารให้ถูกต้องและเหมาะสม
3.1.5. ไม่ใช้ข้อความกำกวม แสดงการตำหนิ ดูถูก ใส่ร้ายผู้อื่น
3.1.6. หลีกเลี่ยงการส่งอีเมลและการแนบไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ ให้ใช้การส่งลิงก์หรือโปรแกรมในการโอนถ่ายไฟล์แทน
3.1.7. ไม่ลักลอบส่งอีเมลโดยการปลอมแปลงชื่อผู้ส่งที่ทำให้ผู้รับเข้าใจผิด
3.1.8. ไม่ส่งจดหมายลูกโซ่
3.1.9. ไม่ส่งอีเมลขายสินค้า โฆษณา หรือข้อความที่รบกวนผู้รับ
3.2. มารยาทในการใช้แชทและเครือข่ายสังคม
3.2.1. ไม่ใช้ข้อความที่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างบุคคลและกลุ่ม
3.2.2. หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์
3.2.3. ไม่อ้างตนเป็นผู้อื่น
3.2.4. ไม่ใช้ถ้อยคำยยั่วยุหรือถ้าทาย
4. 3.การคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี
4.1. มาตรา53/4 การหลบเลี่ยงมาตการทางเทคโนโลยี
4.2. มาตรา53/5 เป็นข้อยกเว้นมาตการทางเทคโนโลยีโดยส่วนใหญ่ใช้ในการศึกษาหรือวิจัย
5. 1.แนวทางปฏิบัติเมื่อพบเนื้อหาไม่เหมาะสม
5.1. ปฏิเสธการรับข้อมูล
5.2. ไม่ส่งต่อ ไม่แชร์ ไม่เผยแพร่
5.3. แจ้งผู้เกี่ยวข้องที่ดูแลเว็บไซต์นั้น
5.4. แจ้งเจ้าหน้าที่รัฐหรือตำรวจ
6. 2.ผลกระทบการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
6.1. ผลกระทบต่อผู้เผยแพร่
6.1.1. จิตใจ
6.1.1.1. รู้สึกผิดกับการกระทำของตนเองหรือรู้สึกเสียใจเมื่อผู้อื่นเลียนแบบพฤติกรรมเลียนแบบการกระทำไม่เหมาะสมของตนเอง โดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
6.1.2. สังคม
6.1.2.1. ถูกสังคมประณาม
6.1.3. กฏหมาย
6.1.3.1. ได้รับโทษเนื่องจากข้อมูลเหล่านี้อาจผิดระเบียบ กฏเกณฑ์ หรือทำให้เสียเวลา และค่าใช้จ่ายจาการดำเนินคดีตามกฏหมาย
7. 6.พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์
7.1. 1.เพิ่มคำนิยามลงไป3คำได้แก่ข้อมูลของเจ้าของสิทธิ
7.1.1. มาตรการทางเทคโนโลยี
7.1.2. การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี
7.2. 2.การคุ้มครองบริหารสิทธิ
7.2.1. มาตรา53/1 การลบหรือเปลี่ยนแปลงเป็นการละเมิดข้อมูลบริหารสิทธิ์เช่นการลบลายน้ำ
7.2.2. มาตรา53/2การลบหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่มีลิขสิทธิ์มาเผยแพร่หรือจำหน่ายเป็นการละเมิดข้อมูลการบริหารสิทธิ
7.2.3. มาตรา53/3สามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเกี่ยวข้องกับการมั่นคงของประเทศหรือสถาบันศึกษา
7.3. 4.ข้อจำกัดความรับผิดชอบผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต
7.3.1. มาตรา32/2วรรคสอง ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่มีหลักฐานว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการเจ้าของลิขสิทธิ์อาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ผู้บริการระงับการละเมิดลิขสิทธิ์
7.4. 5.หลักการระงับใบซื้อสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
7.4.1. มาตรา32/1 เช่น นาย ก.เป็นคนเขียนหนังสือ นาย ข.เป็นคนซื้อหนังสือ พอนาย ข. อ่านหนังสือจบแล้วรู้สึกเบื่อจึงขายต่อให้นาย ค. ไม่ผิดลิขสิทธิ์ แต่หากมีการนำหนังสือมาคัดลอกหรือดัดแปลงเพื่อทำการค้าขายถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
7.5. 6.ข้อยกเลิกลิขสิทธิ์การทำซ้ำชั่วคราว
7.5.1. มาตรา32/2 ตัวอย่างเช่น เราซื้อ E-Book มาแล้วโหลดเก็บไว้ในเครื่องซึ่งถือเป็นการทำซ้ำ แต่ไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะได้ผ่านการซื้อโดยชอบธรรมมาแล้ว
7.6. 7.สิทธิทางศีลธรรมของนักแสดง
7.6.1. มาตรา51/1 กำหนดว่านักแสดงมีสิทธิ์ว่าตนเป็นนักแสดงในการแสดงของตน และมีสิทธิ์ห้ามให้ผู้ใดทำการกระทำใดต่อการแสดงนั้น และเมื่อนักแสดงถึงแก่ความตาย ทายาทของนักแสดงมีสิทธิ์ในการแสดงนั้นตลอดการคุ้มครองสิทธิ์ของนักแสดง
7.7. 8.การเพิ่มค่าเสียหายในเชิงลงโทษ
7.7.1. มาตรา64วรรค2 กำหนดให้ศาลมีอำนาจในการสั่งให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ต้องจ่ายค่าเสียหายไม่เกิน2เท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
7.8. 9.การเพิ่มอำนาจศาล
7.8.1. มาตรา75 ได้เพิ่มอำนาจศาลในคดีอาญาให้มีอำนาจในการ ยึด สั่งไม่ให้ใช้ หรือสั่งทำลาย โดยให้ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์เป็นคนเสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้ของสิ่งนั้นไม่มาหมุนเวียนในช่องทางพาณิชย์ได้อีก