1. คลื่นเสียง
1.1. มีสมบัติเป็นคลื่น
1.1.1. การหักเห
1.1.1.1. กฎการหักเห : n1sin θ1 = n2sinθ2
1.1.1.1.1. เช่น การเกิดฟ้าแลบแล้วไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้อง
1.1.2. การแทรกสอด
1.1.2.1. รวมกันแบบเสริม เรียก บัพ
1.1.2.2. รวมกันแบบหักล้าง เรียก ปฏิบัพ
1.1.3. การเลี้ยวเบน
1.1.4. การสะท้อน
1.1.4.1. มุมตกกระทบ = มุมสะท้อน
1.1.4.1.1. ทำให้เกิดเสียงก้อง
1.2. เสียงและอุณหภูมิ
1.2.1. vt = 331 + 0.6t
1.3. การหาระยะทางของการสะท้อนของเสียง
1.3.1. s = vt/2
1.4. การหาความถี่ของคลื่นลัพธ์
1.4.1. f1+f2/2 ; ค่าเฉลี่ยของความถี่
1.5. ความถี่บีสต์
1.5.1. fb = | f2 - f1 |
1.6. ความยาวคลื่น
1.6.1. λ = 2l / n
1.7. การหาความเร็วของคลื่นตามขวาง
1.7.1. v = √t/√u
2. แสงและทัศนูอุปกรณ์
2.1. สมบัติของแสง
2.1.1. เคลื่อนที่ในแนวเส้นตรง และจะเขียนแทนด้วย รังสีของแสง
2.1.2. แสงเดินทางในสุญญากาศด้วยอัตราเร็ว 3 x 108 เมตรต่อวินาที
2.1.3. เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ต้องอาศยตัวกลางในการเคลื่อนที่
2.1.4. เป็นคลื่นตามขวาง เพราะสามารถเกิดโพลาไรซ์ได้
2.2. การวัดอัตราเร็วของแสง
2.2.1. c = D/DT
2.2.2. c = 4ndf
2.3. การสะท้อนของแสง
2.3.1. รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน และเส้นแนวตั้งฉากต้องอยู่ในระนาบเดียวกัน
2.3.2. มุมตกกระทบ(qi ) เท่ากับมุมสะท้อน (qr ) ณ ตำแหน่งที่แสงตกกระทบ
2.4. ภาพในกระจกเงาราบ
2.4.1. การเกิดภาพเกิดจากการที่รังสีสะท้อนไปตัดกัน ซึ่งสามารถแบ่งชนิดของภาพได้เป็นสองแบบ
2.4.1.1. ภาพจริง เป็นภาพที่เกิดจากรังสีสะท้อนไปตัดกันจริงๆ
2.4.1.2. ภาพเสมือน เป็นภาพที่เกิดจากรังสีสะท้อนไปตัดกันไม่จริง
2.4.2. ระยะภาพ = ระยะวัตถุ
2.4.3. ขนาดภาพ = ขนาดวัตถุ
2.4.4. การขยาย = [ระยะภาพ /ระยะวัตถุ] = [ขนาดภาพ /ขนาดวัตถุ] = m = (S/ / S) = (Y/ / Y)
2.5. ภาพที่เกิดจากการสะท้อนบนกระจกผิวโค้งทรงกลม
2.5.1. เลนส์เว้า
2.5.1.1. วัตถุอยู่เลยจุด C ออกไปจะได้ภาพจริงหัวกลับขนาดเล็กกว่าวัตถุ ระยะวัตถุ S > R ระยะภาพจะเกิดที่ R > S/ > f
2.5.1.2. วัตถุอยู่ที่จุด C จะได้ภาพจริงหัวกลับที่เดียวกับวัตถุ และขนาดเท่าวัตถุ ระยะวัตถุ S =R ระยะภาพจะเกิดที่ S = R
2.5.1.3. วัตถุอยู่ระหว่างจุด C กับ F จะได้ภาพจริงหัวกลับขนาดโตกว่าวัตถุ ระยะวัตถุ R > S > f ระยะภาพจะเกิดที่ S > R
2.5.1.4. วัตถุอยู่ระหว่างกระจกกับจุด F จะได้ภาพเหมือนขนาดโตกว่าวัตถุ ระยะวัตถุ S > f ระยะภาพจะเกิดที่ หลังกระจก
2.5.1.5. :วัตถุอยู่ที่จุด F จะได้ภาพที่ระยะอนันต์ ระยะวัตถุ S = f ระยะภาพจะเกิดที่ ระยะอนันต์
2.5.2. เลนส์นูน
2.5.2.1. จะได้ภาพเหมือนหัวตั้ง ขนาดเล็กกว่าวัตถุเสมอ ไม่ว่าวัตถุจะอยู่ตรงไหนของหน้ากระจก
2.6. การหักเหของแสง
2.6.1. มิราจ
2.6.2. รุ้งกินน้ำ
2.6.3. รังสีตกกระทบ เส้นแนวฉาก และรังสีหักเห อยู่ในระนาบเดียวกัน
2.6.4. สำหรับตัวกลางคู่หนึ่ง ๆ อัตราส่วนระหว่างค่า sin ของมุมตกกระทบ ในตัวกลางหนึ่งกับ ค่า sin ของมุมหักเหในอีกตัวกลางหนึ่ง มีค่าคงที่เสมอ
2.6.5. ดัชนี้หักเห
2.6.5.1. n = c/v
2.7. ทัศนอุปกรณ์
2.7.1. แว่นขยาย
2.7.1.1. การที่ตามองเห็นวัตถุมีขนาดใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับขนาดของภาพที่ตกบนเรตินา ซึ่งขึ้นอยู่ กับมุม ที่วัตถุรองรับลูกตา ถ้ามุมที่รองรับวัตถุมาก ภาพที่เกิดบนเรตินา จะมีขนาดใหญ่
2.7.2. กล้องจุลทรรศน์
2.7.2.1. กล้องจุลทรรศน์เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เรามองเห็นวัตถุที่มีขนาดเล็กมาก ประกอบด้วยเลนส์นูนความยาวโฟกัสสั้น ๆ 2 อัน โดยเลนส์อันหนึ่งอยู่ใกล้วัตถุเรียกว่าเลนส์ใกล้วัตถุ (Objective Lens) และเลนส์อันหนึ่งอยู่ใกล้ตาเรียกว่าเลนส์ใกล้ตา(Eyepiece Lens) โดยความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้วัตถุน้อยกว่าความยาวโฟกัสของเลนส์ใกล้ตามาก
2.7.3. กล้องโทรทรรศน์
2.7.3.1. กล้องโทรทัศน์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ดูวัตถุที่อยู่ไกล ประกอบด้วยเลนส์ 2 เลนส์ มี 2 ประเภท คือ ก. กล้องโทรทรรศน์หักเห (Refracting telescope) ใช้เลนส์นูนเป็นเลนส์ใกล้วัตถุมีความยาวข.โฟกัสมากอาจจะถึงหลาย ๆ เมตร กล้องโทรทรรศน์ชนิดสะท้อนแสง (Reflecting telescope) ใช้กระจกเว้ารูปพาราโบลาที่ไม่มีความคลาดเป็นตัวสะท้อนแสงใกล้วัตถุ ภาพที่ได้เกิดขึ้นที่ จุดโฟกัสใช้กระจกนูนเป็นตัวสะท้อนครั้งที่สอง เกิดภาพเสมือนขนาดขยาย
3. แสงเชิงฟิสิกส์
3.1. การแทรกสอดของแสง
3.1.1. เกิดได้ต่อเมื่อคลื่นแสง 2 ขบวนเคลื่อนที่มาพบกัน จะเกิดการรวมตัวกันและแทรกสอดกันเกิดเป็นแถบมืดและแถบสว่างบนฉาก
3.1.2. สมการการแทรกสอดของแสง
3.1.2.1. S2P - S1P = d sinθ
3.2. การเลี้ยวเบนของแสง
3.2.1. พิจารณาการเลี้ยวเบนผ่านช่องแคบเดี่ยว
3.2.2. พิจารณาการแทรกสอดของช่องคู่
3.2.3. การเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
3.2.3.1. d sinθ = nλ
3.2.3.2. d x/L = nλ
3.2.3.3. d sinθ = (n-1/2)λ
3.2.3.4. d x/L = (n-1/2)λ
3.3. การกระเจิงของแสง
3.3.1. ปัจจัย
3.3.1.1. ขนาดความยาวคลื่น: แสงสีน้ำเงินมีความยาวคลื่นสั้น แสงสีแดงมีความยาวคลื่นมากกว่า แสงคลื่นสั้นเกิดการกระเจิงได้ดีกว่าแสงคลื่นยาว
3.3.1.2. มุมที่แสงตกกระทบกับบรรยากาศ
3.3.1.3. ปริมาณสารแขวนลอยในอากาศ
4. คลื่นกล
4.1. ความหมาย
4.1.1. พลังงานที่แผ่ออกมาจากการรบกวนแหล่งกำเนิด
4.2. ประเภท
4.2.1. แบ่งตามสื่อกลาง
4.2.1.1. คลื่นกล ; อาศัยตัวกลาง
4.2.1.1.1. New node
4.2.1.1.2. New node
4.2.1.2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ; ไม่อาศัยตัวกลาง
4.2.2. แบ่งตามความต่อเนื่อง
4.2.2.1. คลื่นดล
4.2.2.2. คลื่นต่อเนื่อง
4.2.3. แบ่งตามลักษณะของคลื่น
4.2.3.1. คลื่นตามยาว
4.2.3.2. คลื่นตามขวาง
4.3. องค์ประกอบของคลื่น
4.3.1. สันคลื่น = จุดที่สูงที่สุดของคลื่น
4.3.2. แอมพลิจูด = ระยะการกระจัดของตัวกลางมากที่สุด
4.3.3. ความยาวคลื่น = ระยะจากสันคลื่นหนึ่งไปยังอีกสันคลื่นที่ติดกัน
4.3.4. คาบ = เวลาที่หนึ่งลูกคลื่นเคลื่นที่ไปได้
4.3.5. ท้องคลื่น = จุดที่ต่ำที่สุดของคลื่น
4.3.6. เฟส = บอกตำแหน่งการกระจัดของอนุภาคเป็นค่ามุม (องศาหรือเรเดียน)
4.3.7. ความถี่ = จำนวนลูกคลื่นที่เคลื่นที่ไปได้ในหนึ่งหน่วยเวลา
4.3.8. การสะท้อน
4.4. สมบัติของคลื่น
4.4.1. สะท้อน
4.4.1.1. ความเร็ว , ความถี่ , ความยาวคลื่นเท่าเดิม
4.4.1.2. ถ้าการสะท้อนสูญเสียพลังงาน แอมพลิจูดจะน้อยลง
4.4.1.3. มุมตกกระทบ = มุมสะท้อน
4.4.1.4. ปลายตรึงเฟสตรงข้าม , ปลายอิสระเฟสคงเดิม
4.4.2. หักเห
4.4.2.1. รังสีตั้งฉากกับหน้าคลื่นเสมอ
4.4.2.2. อัตราเร็ว และความยาวคลื่นเปลี่ยนไป แต่ความถี่คงที่
4.4.2.3. กฎการหักเห : n1sin θ1 = n2sinθ2
4.4.2.4. กฎการหักเห : รังสีตกกระทบ รังสีหักเห เส้นปกติ อยู่ในระนาบเดียวกัน
4.4.3. แทรกสอด
4.4.3.1. รวมแบบเสริม เรียกว่าบัพ
4.4.3.2. รวมแบบหักล้าง เรียกว่าปฏิบัพ
4.4.4. เลี้ยวเบน
4.4.4.1. จะทุกๆจุดบนหน้าคลื่น สามารถเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นใหม่ได้