Начать. Это бесплатно
или регистрация c помощью Вашего email-адреса
โรคติดต่อ создатель Mind Map: โรคติดต่อ

1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Human influensa)

1.1. สาเหตุ

1.1.1. ติดเชื้อ Influensa virus มี RNA 3 ชนิด ชนิด A,B,C A แหล่งเชื้อโรค คือ นกน้ำตามธรรมชาติ ระยะฟักตัวของโรค 1- 4 วัน หลังรับเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่

1.2. Onset of Symptoms

1.2.1. about 1 to 4 days, with an average of about 2 days.

1.3. Signs and Symptoms of Flu

1.3.1. Fever* or feeling feverish/chills

1.3.2. Cough

1.3.3. Sore throat

1.3.4. Runny or stuffy nose

1.3.5. Muscle or body aches

1.3.6. Headaches

1.3.7. Fatigue (very tired)

1.4. การแพร่กระจายเชื้อโรค

1.4.1. การกระจายสู่คนทางละอองฝอย

1.4.2. สัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ที่ปนเปื้อน เช่นน้ำมูกและน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย

1.5. ภาวะแทรกซ้อน

1.5.1. ระบบทางเดินหายใจ

1.5.1.1. Ottitis media

1.5.1.2. Pneumonia

1.5.2. ระบบหัวใจ

1.5.2.1. Myocarditis

1.5.2.2. Pericarditis

1.5.3. ระบบประสาท

1.5.3.1. Encephalitis

1.5.3.2. Guillain Barre Syndrom

1.6. การรักษา

1.6.1. ให้ยาต้าน Antiviral teatment

1.6.1.1. ให้ภายใน 48 ชั่วโมงแรกของอาการป่วย

1.6.1.2. ให้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง

1.6.1.2.1. โรคหัวใจ ปอด หอบหืด ตั้งครรภ์ไตรมาส 2,3 HIV เด็กอายุครบน้อยกว่า 2 ปี เมตาบอลิกเรื้อรัง ได้รับการรักษาด้วย Aspirin

1.6.1.3. กลุ่ม 1 amantadine และ Rimantadin

1.6.1.4. กลุ่ม 2 Neuraminidase inhibitor

1.7. การพยาบาล

1.7.1. พักผ่อนมากๆ และอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก

1.7.2. ลดไข้ผู้ป่วย

1.7.3. การล้างมือ

1.7.4. กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย ควรดื่มน้ำมากๆ

1.7.5. ปิดจมูก ปาก เวลาไอหรือจาม และบ้วนน้ำลายลงในภาชนะที่ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค

1.7.6. ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

1.7.7. ควรหยุดพักงานหรือการเรียนชั่วคราว จนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค

1.7.8. ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ห้องแยก

2. เชื้อไข้หวัดนก ( Avian influenza)

2.1. ระยะฟักตัว

2.1.1. ประมาณ 1 ถึง 3 วัน

2.2. อาการ

2.2.1. มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย

2.2.2. กล้ามเนื้ออ่อนเพลียมีน้ำมูกไอและเจ็บคอ

2.2.3. บางครั้งพบว่ามีอาการตาแดง

2.3. อาการแทรกซ้อน

2.3.1. ปอดบวมและเกิดระบบหายใจล้มเหลว (Acute espiratory Distress Syndrome)

2.4. การวินิจฉัยไข้หวัดนก

2.4.1. มีไข้มากกว่า 38 องศา

2.4.2. มีอาการทางเดินระบบหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจหอบ

2.4.3. ประวัติสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นโรค หรือสัมผัสกับคนป่วยภายใน 10 วันก่อนเกิดอาการ

2.4.4. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

2.4.5. การเพาะเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่ง เช่นเสมหะ น้ำมูก

2.4.6. การตรวจสารคัดหลั่งด้วยวิธี PCR influenza type A ให้ผลบวก

2.5. ยาที่ใช้รักษา

2.5.1. Oseltamivir [tamiflu]

2.5.2. Zannamivir[Relenza]

2.6. วิธีป้องกันการระบาด

2.6.1. ต้องกำจัดแหล่งแพร่เชื้ออย่างรีบด่วน

2.6.2. ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพื่อไม่ให้เชื้อกลายพันธุ์

2.6.3. คนที่สัมผัสไก่ที่เป็นโรคและมีไข้ต้องกินยาต้านไวรัส

2.6.4. ผู้ที่ทำลายไก่ต้องสวมชุดเพื่อป้องกันการรับเชื้อ

2.6.5. ต้องมีระบบคัดกรองผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดนก ออกจากผู้ป่วยอื่นทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน

2.6.6. ผู้ป่วยที่มีอาการไอหรือจาม ต้องใช้ Tissue ปิดปากและจมูก

2.6.7. จัดให้มี Alcohol สำหรับเช็ดมือ

2.6.8. แยกผู้ป่วยที่มีอาการไอออกจากผู้อื่นอย่างน้อย 3 ฟุต

3. SARS

3.1. สาเหตุ

3.1.1. เกิดจาก เชื้อไวรัสโคโรนา coronavirus (SARS-CoV)

3.2. ระยะฟักตัวของโรค

3.2.1. จะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 7 วัน โดยทั่วไปมักไม่เกิน 10 วัน

3.3. การติดต่อ

3.3.1. สัมผัสกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของเหลว เช่น น้ำลาย น้ำมูก

3.4. อาการ

3.4.1. ไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส

3.4.2. ปวดเมื่อยตามร่างกาย

3.4.3. ปวดศีรษะมาก

3.4.4. หนาวสั่น

3.4.5. อาการเจ็บคอ ไอแห้ง ๆ

3.4.6. ปอดบวมอักเสบ

3.4.7. อาการหายใจลำบาก

4. Covid-19

4.1. ระยะฝักตัว

4.1.1. 2-14วัน

4.2. ช่องทางการแพร่กระจาย

4.2.1. คนสู่คน

4.2.2. ละอองเสมหะ

4.2.3. ทางอุจจาระ

4.2.4. เยื่อบุตา ปาก

4.3. อาการ

4.3.1. ไข้

4.3.2. ไอ

4.3.3. น้ำมูก

4.3.4. เจ็บคอ

4.3.5. หายใจลำบาก

4.4. การรักษา/การดูแล

4.4.1. confirmed case

4.4.1.1. แนะนำให้นอนรพ.2-7วัน เมื่อไม่มีอาการแทรกซ้อน พักต่อที่ที่พักเฉพาะ อย่างน้อย14วัน

4.4.1.2. ดูแลตามอาการ ไม่ให้ยาต้านไวรัสเนื่องจากหายเองได้

4.4.2. confirmed case with mild symptom and no rish factor

4.4.2.1. แนะนำให้นอนโรงพยาบาล2-7วัน ให้ยา2ชนิด นาน5 วัน Choroquine,Darunavir+ritonavir

4.4.2.2. หากสภาพปอดแย่ลง ให้เพิ่ม favipiravir เป็น5-10วัน

4.4.3. confirmed case with mild symptom and rish factor

4.4.3.1. มีโรคร่วม

4.4.3.2. ให้ยา2ชนิด นาน5 วัน Choroquine,Darunavir+ritonavir อาจให้ตัวที่3 Azithromycin

4.4.3.3. หากสภาพปอดแย่ลง ให้เพิ่ม favipiravir เป็น5-10วัน

4.4.4. confirmed case with pnuemonia

4.4.4.1. ให้ยาอย่างน้อย3ชนิด อาจให้ตัวที่4 ร่วม

4.4.4.2. เลือกใช้respiratary support ด้วยHFNCก่อนใช้ invasive ventilation

4.4.4.3. ให้organ support อื่นๆ

4.4.5. จำหน่ายจากรพ

4.4.5.1. พักในรพ จนครบ14วัน

4.4.5.2. ให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านจนครบ1เดือน

4.4.5.3. แนะนำให้สวมหน้ากาก และระมัดระวังสุขอนามัย

4.4.5.4. ออกจากรพ ได้โดยไม่ต้องทำswapซ้ำ

5. Hepatitis

5.1. สาเหตุ

5.1.1. เกิดจากการเสียหน้าที่ของตับจากภาวะตับอักเสบ การบาดเจ็บที่ตับ ตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ

5.1.2. ตับอักเสบที่พบบ่อย คือ Viral Hepatitis มี 3 ชนิด คือ Hepatitis A Virus (HAV) Hepatitis B Virus (HBV) และ Hepatitis Non A Non B (Hepatitis C Virus

5.2. พยาธิสภาพของ Viral Hepatitis

5.2.1. การอักเสบของ cell ตับ จะมีลักษณะ huperpasia ของ Kupffer cell ร่วมกับมีการคั่งของน้ำดี และเกิด necrosis ตามมา ซึ่งระยะในการอักเสบ

5.2.1.1. Prodomal Stage

5.2.1.2. Icteric Stage

5.2.1.3. Recovery Period

5.3. Hepatitis A Virus

5.3.1. เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด RNA. ติดต่อได้ทาง feacal – oral transmission (การกินอาหารหรือดื่มน้ำไม่สะอาด) ไม่ค่อยติดต่อทางเลือด (อาจพบได้บ้าง)

5.3.2. สามารถตรวจพบเชื้อในอุจจาระได้ 2 สัปดาห์ ก่อนแสดงอาการ และหลังจากตา ตัวเหลือง 1 สัปดาห์

5.3.3. ส่วนใหญ่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเป็น Chronic hepatitis หรือ cirrhosis หรือ C.A liver แต่สามารถตรวจพบ antibody ทำให้มีภูมิต้านทานตลอดไป ไม่เป็น carrier

5.3.4. ใช้เวลาฟักตัว 15 – 50 วัน ติดต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของการมีในระยะฟักตัว จนถึง 2 – 3 วัน หลังจากตัวเหลือง

5.4. Hepatitis B Virus

5.4.1. เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด DNA. ฟักตัว 6 สัปดาห์ - 6 เดือน

5.4.2. ติดต่อได้ทางเลือด หรือ serum เช่น การฉีดยา การถ่ายเลือด การสัมผัสกับ secretion หรือ สิ่งคัดหลั่งต่างๆ (น้ำมูก น้ำลาย) เพศสัมพันธ์ (อสุจิ)

5.4.3. ไม่พบเชื้อนี้ใน gastric content, bile, faces เพราะเชื้อถูกทำลายได้ด้วย intestinal mucosal enzyme

5.4.4. อาการจะรุนแรงกว่าชนิดอื่นๆ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น Chronic hepatitis, Cirrhosis, C.A liver ถ้าเป็นนานกว่า 6 เดือน

5.5. Hepatitis Non A Non B (nAnB): Hepatitis C Virus (HCV)

5.5.1. NAnB

5.5.1.1. เชื้อที่เป็นสาเหตุไม่ทราบแน่ชัด อาการไม่รุนแรง ตรวจ serum ไม่พบ Anti HAV และ HBs Ag มีโอกาสเกิด Chronic Hepatitis และ cirrhosis ติดต่อได้ทั้งการรับประทานอาหารทางเลือด และ serum

5.6. การพยาบาล

5.6.1. สังเกตอาการไข้ อาการตา ตัวเหลือง อาการที่แสดงภาวะตับวาย เช่น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป

5.6.2. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนเต็มที่ งดการทำกิจกรรมใดๆ

5.6.3. ดูแลการได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง หลีกเลี่ยงไขมันทุกชนิด

5.6.4. บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยจัดสิ่งแวดล้อมและอาหารที่ไม่กระตุ้นความรู้สึกอยากอาเจียน ถ้ามีอาการรุนแรงมาก ดูแลการได้รับยาแก้อาเจียนตามแผนการรักษา

5.6.5. การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอิเลคโตรไลท์ทางหลอดเลือดตามแผนการรักษา

5.6.6. ติดตามผลการระมัดระวังการแพร่กระจายเชื้อโดยเฉพาะทางเลือด และสิ่งคัดหลั่งต่างๆ

5.6.7. การให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อ เช่น การฉีดวัคซีนตับอักเสบ การระมัดระวังเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและการร่วมเพศ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

6. โรคไวรัสอีโบร่า (Ebola virus disease)

6.1. การแพร่กระจายเชื้อ

6.1.1. การสัมผัสกับเลือดหรือสารน้ำร่างกายจากผู้ติดเชื้อโดยตรง

6.1.2. การสัมผัสกับเวชภัณฑ์ที่ปนเปื้อน

6.2. พยาธิวิทยา

6.2.1. หลังติดเชื้อ จะมีการสร้างไกลโคโปรตีนที่หลั่งออกมา อีโบลาไวรัสไกลโคโปรตีน ก่อเป็นกลุ่มรวมไตรเมอร์ ซึ่งยึดไวรัสกับเซลล์เนื้อเยื่อบุโพรงตามผิวด้านล่างของหลอดเลือด sGP ก่อโปรตีนไดเมอร์ (dimer) รบกวน neutrophil ไวรัสแพร่กระจายปุ่มน้ำเหลือง ตับ ปอดและม้าม

6.2.2. เกิดการปล่อยไซโทไคน์ (กล่าวโดยเจาะจง คือ TNF-α, IL-6, IL-8 ฯลฯ) ทำให้ความแข็งแรงของหลอดเลือด (vascular integrity) เสียไป การเสียความแข็งแรงของหลอดเลือดนี้ยังส่งเสริมด้วยการสังเคราะห์ GP ซึ่งลดอินทีกริน (integrin) นำไปสู่ลิ่มเลือดผิดปกติ[

6.3. การวินิจฉัย

6.3.1. การตรวจหาอาร์เอ็นเอไวรัสโดยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส(PCR) และการตรวจหาโปรตีนโดยวิธีอีไลซา (ELISA)

6.4. ภาวะแทรกซ้อน

6.4.1. หลายอวัยวะล้มเหลว

6.4.2. เลือดออกรุนแรง

6.4.3. ดีซ่าน

6.4.4. สับสน

6.4.5. ชัก

6.4.6. โคม่าหมดสติ

6.4.7. ช็อค

6.5. การรักษา

6.5.1. รักษาสมดุลของเหลวและอิเล็กโทรไลต์เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

6.5.2. การให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม

6.6. การป้องกัน

6.6.1. กำจัดไวรัสอีโบลาได้ด้วยความร้อน (ให้ความร้อน 60 °C เป็นเวลา 30 ถึง 60 นาที หรือต้มเป็นเวลา 5 นาที

6.6.2. แยกผู้ป่วย และการสวมเสื้อผ้าป้องกัน ได้แก่ หน้ากาก ถุงมือ กาวน์และแว่นตา

6.6.3. ไม่สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ

7. MERS-CoV หรือ Middle East Respiratory Syndrome-Corona Virus

7.1. ระยะฟักตัว

7.1.1. ตั้งแต่ 2 – 14 วัน

7.2. อาการ

7.2.1. ไข้สูง อาการไอ หายใจหอบมากกว่า 28 ครั้ง Oxygen saturation น้อยกว่า 90 และอาจเกิดภาวะปอดอักเสบ ไตวายทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันอย่างรุนแรง

7.2.2. บางรายอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่นคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว

7.3. การรักษา/การดูแล

7.3.1. การให้ยาต้านไวรัส

7.3.2. การให้ยาปฏิชีวนะ กรณีมีปอดอักเสบ

7.3.3. การรักษาตามอาการ

7.4. การป้องกัน

7.4.1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไอ จาม หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เฉียบพลัน

7.4.2. ควรล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย หรือสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย

7.4.3. หลีกเลี่ยง การเข้าไปในพื้นที่ แออัด หรือที่ สาธารณะที่มีคนอยู่จำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค

7.4.4. แนะนำให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม

7.4.5. ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี ได้แก่ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ