
1. ผู้เขียน
1.1. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
1.1.1. เกิดในครอบครัวที่ยากจน ไม่รู้กระทั่งวันเกิดของตัวเอง พ่อเป็นช่างก่อสร้าง สมัยเด็กอยู่บ้านสังกะสีมุงจาก แต่เขาเรียนหนังสือเก่ง จนเรียนจบปริญญาเอกจากสหรัฐอเมริกา และกลับมาทำงานในแวดวงการเงิน
1.1.2. ดร.นิเวศน์เริ่มสร้างชื่อหลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มจำกุ้ง พร้อมกับเผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบ Value Investing ที่ตนใช้จนประสบความสำเร็จ
1.1.3. ปัจจุบัน ดร.นิเวศน์เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งของไทย มีประสบการณ์ลงทุน 20 กว่าปี และทรัพย์สิน 6000 ล้านบาท
2. ข้อคิดสำคัญ
2.1. ซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ
2.2. ซื้อหุ้นดีกว่าการเริ่มทำธุรกิจเอง เพราะเสี่ยงน้อยกว่า เลือกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ทันที และไม่เหนื่อย
2.3. หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไม่ใช่หุ้นที่ดี หุ้นที่ดีต้องมีกำไรเติบโตสม่ำเสมอ อยู่ในธุรกิจที่เติบโต
2.4. ไม่ควรซื้อหุ้นแพง ให้ดู PEG ว่าหุ้นแพงไหม ถ้าต่ำกว่า 1 ถือว่าใช้ได้
2.5. การลงทุนมีหลายสไตล์ คุณต้องเลือกสไตล์ที่เหมาะกับตัวเอง แล้วฝึกฝนแนวทางของคุณจนเก่งกาจ
2.6. หาหุ้นลงทุนได้จากการใช้ตะแกรงร่อน ติดตามข่าว และลอกนักลงทุนคนอื่น
2.7. ควรกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และระวังผู้บริหารที่ทุจริตให้ดี
3. ซื้อหุ้นคือการซื้อธุรกิจ
3.1. เมื่อภรรยาถามดร.นิเวศน์ ว่าทำไมไม่ทำธุรกิจกับเขาบ้าง?
3.1.1. ดร.นิเวศน์เป็นเจ้าของธุรกิจอยู่แล้ว โดยการซื้อหุ้นในตลาดหุ้น
3.1.2. ดร.นิเวศน์เป็นเจ้าของบริษัทมาม่า วาโก้ ปูนซีเมนต์ ยางกู๊ดเยียร์ ซีเล็คทูน่า ฯลฯ พวกนี้เป็นธุรกิจของดร.นิเวศน์ทั้งนั้น
3.1.3. นั่นเพราะหุ้นคือสัดส่วนความเป็นเจ้าของธุรกิจ เราจึงเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่ายๆ โดยซื้อหุ้นในตลาดหุ้น
3.2. ทำไมไปซื้อหุ้น ไม่ก่อตั้งธุรกิจเอง?
3.2.1. การตั้งธุรกิจใหม่มีความเสี่ยงสูง และเหนื่อย
3.2.2. ต่อให้ธุรกิจอยู่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าจะกำไรดี ธุรกิจที่จะกำไรดีต้องเป็นผู้นำ ซึ่งมีอยู่แค่หยิบมือ
3.2.3. กลุ่มสหพัฒน์สร้างธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ เหนื่อยแทบตาย แต่ดร.นิเวศน์ซื้อหุ้นสหพัฒน์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลาปลุกปั้น แถมจ่ายน้อยกว่าเงินที่คุณเทียมผู้ก่อตั้งลงไปอีก
3.2.3.1. ถ้าซื้อหุ้นได้ถูกจังหวะ P/B จะต่ำกว่าหนึ่ง แปลว่าเราซื้อถูกกว่าเงินที่เจ้าของเดิมลงไป
3.2.3.2. P/B = Price/Book, โดย Price = ราคาหุ้นในตลาด ส่วน Book = เงินที่เจ้าของเดิมลงไป
3.3. พื้นฐานธุรกิจต่างๆ สำหรับมือใหม่
3.3.1. ผู้ผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภค
3.3.1.1. ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ "แบรนด์" เข้มแข็ง คนยอมจ่ายเงินแพงเพราะมั่นใจคุณภาพ
3.3.1.2. สามารถขยายกิจการได้แม้เศรษฐกิจถดถอย แต่ต้องระวังบริษัทที่ขยายไปทำธุรกิจที่ไม่ถนัด
3.3.1.3. อาหาร เครื่องดื่ม หรือร้านอาหารที่คนชอบ
3.3.1.3.1. มาม่า
3.3.1.3.2. โออิชิ คาราบาวแดง
3.3.1.3.3. เครือร้านอาหารญี่ปุ่น พิซซ่า ไอศกรีม ขนมหวาน ฯลฯ
3.3.1.3.4. นมโฟร์โมส น้ำผลไม้ทิปโก้ มาลีสามพราน สาหร่ายเถ้าแก่น้อย
3.3.1.4. โรงแรมดุสิตธานี โอเรียนเต็ล แชงกริล่า
3.3.1.5. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กรุงเทพ สมิติเวช
3.3.2. ธุรกิจที่ต้องได้สัมปทานหรือมีใบอนุญาต
3.3.2.1. สาธารณูปโภค
3.3.2.1.1. โรงไฟฟ้า โรงประปา โทรศัพท์มือถือ ทางด่วน BTS
3.3.2.1.2. ใช้เงินลงทุนสูง ขยายกิจการช้า
3.3.2.1.3. บางบริษัทลงทุนครั้งเดียว ขยายได้เรื่อยๆ แบบนี้ถือว่าดี
3.3.2.1.4. พวกโรงไฟฟ้าหรือน้ำประปา ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อขยายธุรกิจ ถือว่าไม่ดี
3.3.2.1.5. ถ้าบริษัทไหนลงทุนไปแล้ว ลูกค้าไม่มาตามที่หวัง จะขาดทุนหนัก เพราะมีทั้งค่าสัมปทาน ทั้งค่าอุปกรณ์ ทั้งดอกเบี้ย
3.3.2.2. ธุรกิจควบคุม (มีใบอนุญาต)
3.3.2.2.1. เช่น สถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทประกัน บริษัทหลักทรัพย์
3.3.2.2.2. แข่งขันไม่มาก เพราะหน่วยงานราชการไม่อยากให้ล้มละลาย
3.3.2.2.3. ธนาคาร
3.3.3. ธุรกิจส่งออก
3.3.3.1. กำไรขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลก และอัตราแลกเปลี่ยน
3.3.3.2. รายได้จากสินค้าเป็นดอลลาร์ รายจ่ายอยู่ในประเทศ คิดเป็นเงินบาท
3.3.3.3. ถ้าเงินบาทอ่อน
3.3.3.3.1. ธุรกิจส่งออกจะดี เพราะรายได้เป็นดอลลาร์ เปลี่ยนเป็นบาทได้มากขึ้น แต่รายจ่ายเหมือนเดิม
3.3.3.4. ถ้าเงินบาทอ่อนและบริษัทมีหนี้เป็นดอลลาร์
3.3.3.4.1. อยู่ได้ เพราะหนี้เป็นดอลลาร์ รายได้ก็เป็นดอลลาร์ สัมพันธ์กัน
3.3.4. ธุรกิจมีจุดเด่น (Niche Player)
3.3.4.1. เก่งในการผลิตสินค้าหรือบริการเฉพาะด้าน บริษัทใหญ่ก็สู้ไม่ได้
3.3.4.2. ธุรกิจมั่นคง เพราะยังขายสินค้าได้ คนจำเป็นต้องซื้อ
3.3.4.3. TASCO ทำยางมะตอย
3.3.4.4. STANLY ทำโคมไฟรถยนต์ โตโยต้ามีโรงงานทำโคมไฟ แต่ก็ยังต้องมาขอซื้อ
3.3.4.5. ALUCON ผลิตหลอดอะลูมิเนียมบรรจุเครื่องสำอางค์ ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำ
3.3.4.6. SITHAI เก่งเรื่องการผลิตพลาสติกและเมลามีน
3.3.4.7. ตัวอย่างมาจาก 20 ปีก่อน ธุรกิจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้อาจไม่เหมือนเดิม
3.3.4.8. ในตลาดอเมริกา มีบริษัทผลิตชิปคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าเฉพาะทาง มีน้อยบริษัทจะผลิตได้
3.3.4.8.1. AMD, INTEL, NVIDIA
3.3.5. ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)
3.3.5.1. Commodity เช่น น้ำ น้ำมัน ข้าว แป้ง อาหารสัตว์ สังกะสี เหล็ก
3.3.5.2. สินค้าคล้ายกันจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นผู้ผลิต
3.3.5.3. ราคาถูกกำหนดโดยตลาดโลก เป็นไปตามอุปสงค์อุปทาน ไม่มีใครกำหนดราคาได้
3.3.5.4. บริษัทจะมีกำไรแกว่งมาก บางปีกำไร บางปีขาดทุน แต่รวมๆ แล้วจะมีกำไรพออยู่ได้ตามอัตภาพ
3.3.5.5. บางบริษัทมีแบรนด์ แต่แบรนด์ไม่แข็ง ก็นับรวมเป็นกลุ่มนี้
3.3.5.5.1. สินค้าไม่ได้โดดเด่น ลูกค้าไม่ติด ลูกค้าพร้อมเปลี่ยนไปลองเจ้าอื่น
3.3.5.5.2. ปรับราคาขึ้นยาก เพราะกลัวลูกค้าหาย
3.3.5.5.3. กำไรต่ำ ต้องแข่งด้านราคาและโปรโมชั่นกับเจ้าอื่น
3.3.5.6. จะเล่นหุ้น Commodity ห้ามถือนาน ต้องซื้อตอนราคาสินค้าชนิดนั้นจะขึ้น พอกำไรแล้วต้องถอย
3.3.5.7. ถ้าจะถือยาว ควรหลีกเลี่ยงหุ้นพวกนี้ ไปซื้อหุ้นชั้นหนึ่งดีกว่า
3.4. หุ้น 95% ลงทุนไม่ได้
3.4.1. หุ้นส่วนใหญ่ในตลาด เป็นหุ้นธรรมดา ไม่โดดเด่น ไม่ควรลงทุน
3.4.2. กองทุนชอบซื้อหุ้นหว่านทั้งตลาด มีหุ้นดีบ้างแย่บ้าง เหมือนการหว่านแหจับปลา มีปลาเล็กปลาน้อยติดขึ้นมาเต็มไปหมด
3.4.3. นักลงทุนที่ดีใช้เบ็ดจับปลา วางเบ็ดเพื่อจับปลาใหญ่ไม่กี่ตัว
3.4.3.1. ใช้ความสามารถในการวิเคราะห์ คาดการณ์ จังหวะการซื้อ
3.4.3.2. การหว่านแหเป็นวิธีของนักการค้า การตกปลาเป็นวิธีของศิลปิน
4. หุ้นถูก-หุ้นดี ดูยังไง?
4.1. หุ้นดี
4.1.1. กำไรสม่ำเสมอ
4.1.1.1. ไม่ใช่บางปีกำไร บางปีขาดทุน
4.1.2. กำไรโตเร็ว (คิดเป็น %)
4.1.2.1. ต้องคิดอัตราการเติบโตเผื่อไว้สัก 5 ปีข้างหน้าด้วย
4.1.2.2. ถ้าบริษัทปีนี้โต 100% ปีหน้าไม่น่าโตได้ขนาดนี้ ไม่งั้นจะเร็วไป
4.1.2.3. ต่ำกว่า 7% = โตช้า
4.1.2.4. 7-15% = โตปานกลาง
4.1.2.5. 15% ขึ้นไป = โตเร็ว
4.1.3. ทำนายกำไรในอนาคตด้วยกึ๋น
4.1.3.1. การดูกำไรในอดีต มักไม่สามารถทำนายอนาคตได้ดี เราจะต้องดูสถานการณ์ต่างๆ ประกอบด้วย
4.1.3.2. เช่น ถ้าประเทศไทยมีเสื้อผ้าใส่ทุกคนแล้ว ธุรกิจสิ่งทอก็ไม่น่าโตมาก
4.1.3.3. สินค้าใหม่ๆ ที่เพิ่งมีในไทย มีโอกาสโตเร็วกว่ามาก
4.1.4. วิธีดูงบการเงิน
4.1.4.1. หาบริษัทที่กำไรเติบโตทุกปี
4.1.4.2. การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ
4.1.4.2.1. ถ้ามีหนี้บ้าง และอัตราส่วน หนี้สิน/ทุน เท่าเดิม ยังพอทน
4.1.4.2.2. ทุน = ทรัพย์สิน - หนี้สิน
4.1.4.3. สัดส่วน ลูกหนี้การค้า/ยอดขาย คงที่หรือลดลง
4.1.4.3.1. ถ้าลูกหนี้การค้าสูงขึ้น แสดงว่าขายของแล้วเก็บเงินไม่ได้
4.1.4.4. สินค้าคงคลังเท่าเดิม
4.1.4.4.1. ถ้าสินค้าคงคลังมากขึ้น แสดงว่าขายของไม่ออก และจะกลายเป็น dead stock (ของเก่าเก็บที่ขายไม่ได้แล้ว)
4.1.4.5. กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูง (ROE สูง)
4.1.4.5.1. ROE = กำไร/ส่วนของผู้ถือหุ้น
4.1.4.5.2. ส่วนของผู้ถือหุ้น = ทรัพย์สิน - หนี้สิน
4.2. หุ้นถูก
4.2.1. หุ้น A ราคา 100 บาท ส่วนหุ้น B ราคา 10 บาท
4.2.1.1. บอกไม่ได้ว่า A แพงกว่า B
4.2.1.2. ต้องดูที่ P/E
4.2.2. P/E = ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น
4.2.2.1. ยิ่งสูงยิ่งแพง
4.2.3. หุ้นถูกอย่างเดียว ไม่ได้แปลว่าควรซื้อ
4.2.3.1. ต้องดูคุณภาพด้วย (ดูว่ากำไรโตเร็วไหม)
4.3. เวลาซื้อหุ้น ให้ซื้อหุ้นดีในราคาถูก
4.3.1. หุ้นดี = โตเร็ว, หุ้นถูก = P/E ต่ำ
4.3.2. ถ้าจะดูภาพรวม ให้ดู PEG นั่นคือ เอา P/E มาหารด้วย Growth (อัตราการเติบโต)
4.3.2.1. ถ้า PEG < 1 ถือว่าใช้ได้
4.3.2.2. เช่น ถ้ากำไรโตปีละ 30% และ P/E = 20 ถือว่าดี
4.3.2.3. ถ้ากำไรโตปีละ 5% และ P/E = 15 ถือว่าแพง
5. สไตล์การลงทุนของคุณ
5.1. ทุกคนมีสไตล์การลงทุนของตัวเอง ขึ้นอยู่กับนิสัย
5.1.1. ถ้าคุณลงทุนไม่ตรงกับนิสัย คุณจะทำได้ไม่ดี
5.1.2. บางคนบอกว่า "ลงทุนหลายแนว ขึ้นกับสถานการณ์" แบบนี้ก็ไม่ดี เพราะคุณจะไม่เก่งสักแนว
5.1.2.1. เหมือนนักมวยที่เปลี่ยนสไตล์การชกในยกที่ 8 ของการชก คิดเหรอว่าเขาจะชกชนะ?
5.1.3. ไม่มีสไตล์ที่ถูกหรือผิด คุณแค่ต้องหาสไตล์ที่เหมาะกับคุณให้เจอ
5.2. เล่นหุ้นแบบ VI (Value Investing)
5.2.1. ซื้อหุ้นโตเร็ว ไม่ค่อยเกี่ยงราคา (Growth Investor)
5.2.1.1. P/E สูง แต่อัตราการเติบโตก็สูงตาม
5.2.1.2. มักเกิดกับธุรกิจใหม่ๆ ที่จะมา "เปลี่ยนโลก" เช่น หุ้นไมโครซอฟท์ (MSFT), แอปเปิล (AAPL) ในตลาดอเมริกา หรือเซเว่น (CPALL) ในตลาดไทย
5.2.1.3. ช่วงเศรษฐกิจบูม หุ้นพวกนี้จะราคาขึ้นไปสูงมาก มีโอกาสทำกำไรมหาศาล
5.2.1.4. ตอนเศรษฐกิจตกต่ำ ราคาหุ้นจะลงเร็วและแรง เหมือนเทวดาตกสวรรค์
5.2.1.5. ดร.นิเวศน์มองว่าหุ้นโตเร็วถือว่าดี แต่ไม่ควรซื้อทุกราคา เราควรซื้อตอนราคาไม่สูงเกินไป
5.2.2. ซื้อหุ้นคุณภาพต่ำ ราคาต่ำ
5.2.2.1. เหมือนซื้อของงานวัด ของถูก คุณภาพต่ำ
5.2.2.2. เน้นหุ้น P/E ต่ำไว้ก่อน โตช้าหน่อยได้
5.2.2.3. หรือมองอีกแง่ ให้ดูหุ้นที่ราคาต่ำกว่าทรัพย์สินมากๆ
5.2.2.3.1. ราคาหุ้นน้อยกว่า 2/3 x (ทรัพย์สินหมุนเวียน - หนี้สิน)
5.2.2.4. ได้ผลตอบแทนสูงในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี แต่ช่วงเศรษฐกิจโต หุ้นจะขึ้นไม่มาก
5.2.3. ซื้อหุ้นโดยดูคุณภาพเทียบกับราคา
5.2.3.1. ดูทั้ง P/E และอัตราการเติบโตเทียบกัน ถ้าหุ้นคุณภาพดี จะยอมจ่ายแพงได้
5.2.4. ซื้อหุ้นเฉลี่ยทั้งตลาด (Passive Investor)
5.2.4.1. มีการทำวิจัยว่า คนเราโดยเฉลี่ยแล้วลงทุน ได้แย่กว่าการให้ลิงปาเป้าแล้วซื้อหุ้นตามลิง
5.2.4.1.1. ไม่ใช่แค่ปีเดียว แต่เป็นสิบๆ ปีติดต่อกัน
5.2.4.2. ลิงที่ปาเป้าจะได้ผลตอบแทนเท่า "ค่าเฉลี่ยตลาดหุ้น" ซึ่งสูงพอสมควร และสูงกว่านักลงทุนโดยเฉลี่ย
5.2.4.3. ก็เลยมีคนซื้อหุ้นทั้งตลาดหุ้น แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ไปเที่ยว กินอาหารอร่อยๆ เล่นเกม แล้วราคามันก็ขึ้นไปเอง
5.2.4.3.1. สมัยนี้ คุณทำแบบนี้ได้ง่ายๆ โดยซื้อ "กองทุนดัชนี" ซึ่งเขาไปซื้อหุ้นกวาดทั้งตลาดให้คุณแล้ว
5.2.4.4. คุณจะไม่ใช่นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลก แต่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่า "ค่าเฉลี่ย" ของ นักลงทุนที่เหนื่อยยากวิเคราะห์หุ้น และนักลงทุนมืออาชีพ
5.2.5. นักลงทุนโมเมนตัม (Momentum Investor)
5.2.5.1. ซื้อหุ้นที่ราคาวิ่งแรง โดยยอมซื้อแพง และขายแพงกว่า
5.2.5.2. เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ เช่น กำไรเติบโตสูง ซึ่งจะเป็นแรงโมเมนตัม ให้หุ้นขึ้นต่อไม่หยุด
5.3. เล่นหุ้นตามเทคนิค
5.3.1. วาดกราฟ ดูราคาในอดีตเพื่อซื้อขายหุ้น
5.4. เล่นหุ้นตามข่าวลือ
5.4.1. คอยหาข่าวว่าคนเขาเล่นตัวไหน หรือจะมีใครปั่นหุ้นตัวไหน ก็ตามเข้าไปเล่นด้วย
5.4.2. ซื้อขายระยะสั้น ได้กำไรนิดหน่อยก็เอาแล้ว
5.5. เล่นหุ้นทุกแนว
5.5.1. บางครั้งก็ซื้อตามพื้นฐานธุรกิจ โดยอ่านจากที่คนอื่นสรุปให้
5.5.2. บางครั้งก็เก็งกำไรตามข่าวลือ
5.5.3. บางครั้งก็รีบซื้อเพราะตลาดหุ้นกำลังขึ้น กลัว "ตกรถ"
5.5.4. สุดท้ายตายหมด
6. วิธีหาหุ้นลงทุน
6.1. ใช้ตะแกรงร่อน (ดูหุ้นที่ผ่านเงื่อนไขของเรา)
6.1.1. กำไรโต
6.1.2. ยอดขายโต
6.1.3. มูลค่าตลาดเหมาะสม
6.1.3.1. มูลค่าตลาด (Market Cap) คือราคาที่คุณต้องจ่าย ถ้าอยากซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทนี้
6.1.3.2. Market Cap = ราคาหุ้น x จำนวนหุ้น
6.1.3.3. ดูคร่าวๆ ว่า บริษัทขนาดนี้ มูลค่าเท่านี้สมเหตุสมผลไหม
6.1.3.3.1. ไม่ใช่บริษัทยอดขายปีละ 500 ล้าน แต่มูลค่าตลาด 20,000 ล้าน
6.1.4. P/E ต่ำ
6.1.4.1. P/E ใช้ "กำไร" ในการคำนวณ ซึ่งบางทีบริษัทขายของได้ แต่เก็บเงินไม่ได้ ต้องเช็คให้ดี
6.1.4.1.1. ตามหลักบัญชี ขายของได้นับเป็นกำไร ไม่ว่าจะเก็บเงินได้หรือไม่
6.1.5. P/B ต่ำ
6.1.5.1. P/B = ราคาหุ้น/ทุนต่อหุ้น
6.1.5.1.1. ทุน = ทรัพย์สิน - หนี้สิน
6.1.5.2. ถ้า P/B ต่ำ แสดงว่าราคาถูก
6.1.5.3. ถ้า P/B น้อยกว่า 1 แสดงว่าคุณซื้อหุ้น ในราคาต่ำกว่าที่เจ้าของเดิมลงทุนเอาไว้
6.1.6. แต่ละคนจะมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน ขึ้นกับสไตล์การลงทุน เช่น คุณอาจมีเงื่อนไขแบบนี้... (ปรับตามความพึงพอใจของคุณ)
6.1.6.1. ยอดขายเติบโตอย่างน้อยปีละ 25% ต่อปี ย้อนหลัง 3 ปี
6.1.6.2. กำไรเติบโตอย่างน้อยปีละ 25% ต่อปี ย้อนหลัง 3 ปี
6.1.6.3. PE < 25
6.1.6.4. ROE > 30
6.1.6.5. ROA > 20
6.1.6.6. Market Cap > 1000 ล้านบาท
6.1.6.7. หนี้สิน/ทุน < 0.5
6.2. หาจากเหตุการณ์พิเศษ
6.2.1. ตามข่าวเหตุการณ์บ้านเมือง แล้ววิเคราะห์ว่าข่าวพวกนี้ จะส่งผลต่อราคาหุ้นยังไง
6.2.2. ถ้าเกิดสงครามในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันสูงขึ้น
6.2.2.1. บริษัทที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง เช่น ปูนซีเมนต์ กระจก การขนส่งทางเรือ สายการบิน จะมีต้นทุนสูง
6.2.2.1.1. ราคาหุ้นน่าจะลง
6.2.2.2. บริษัทขุดเจาะน้ำมัน เช่น ปตท.สผ. จะกำไรมากขึ้น
6.2.2.2.1. ราคาหุ้นน่าจะสูงขึ้น
6.2.2.3. บริษัทที่สินค้าทดแทนน้ำมัน เช่น ถ่านหิน จะกำไรขึ้นตามน้ำมัน
6.2.2.3.1. ราคาหุ้นน่าจะสูงขึ้น
6.2.2.4. บริษัทที่ขายน้ำมันแต่ไม่ขุดเจาะ ต้องซื้อแพงและขายแพง กำไรต่อหน่วยเท่าเดิม แต่คนใช้น้ำมันน้อยลง รวมๆ แล้วกำไรน่าจะลดลง
6.2.2.4.1. ราคาหุ้นน่าจะลง
6.2.3. ถ้ากระดาษขึ้นราคา
6.2.3.1. บริษัทหนังสือพิมพ์ หรือสำนักพิมพ์ จะต้นทุนสูงขึ้น กำไรลดลง
6.2.4. ถ้าข้าวสาลีขึ้นราคา
6.2.4.1. มาม่าก็ต้นทุนสูงขึ้น กำไรน้อยลง
6.2.4.2. แต่มาม่าอาจปรับราคาขึ้น ทำให้กำไรสูงขึ้นชดเชย
6.2.5. ถ้าค่าเงินบาทอ่อน
6.2.5.1. ผู้ส่งออกได้ประโยชน์ เพราะขายของได้เงินดอลลาร์ เปลี่ยนเป็นเงินบาทได้มากขึ้น
6.2.5.2. บริษัทที่กู้เงินในรูปดอลลาร์ จะมีหนี้คิดเป็นบาทสูงขึ้น อาจไม่มีเงินจ่ายหนี้
6.3. ลอกคนอื่น
6.3.1. ถ้าผู้บริหารซื้อหุ้น
6.3.1.1. หุ้นน่าจะดี ขนาดผู้บริหารยังมั่นใจซื้อหุ้น
6.3.2. ถ้าผู้บริหารขายหุ้น
6.3.2.1. ไม่แน่ว่าดีหรือไม่ดี เขาอาจจะขายไปเป็นค่าเทอมลูกเฉยๆ
6.3.3. ถ้าเซียนหุ้นรายใหญ่ซื้อหุ้น
6.3.3.1. หุ้นน่าจะดี เพราะรายใหญ่น่าจะมีความรู้
6.3.3.2. แต่ต้องระวังหุ้นปั่น เราต้องศึกษาข้อมูลเองด้วย
6.4. ค้นพบโดยบังเอิญ
6.4.1. เราต้องฝึกฝนจนบอกได้ว่าหุ้นนี้ดี โดยแค่ "ดูคร่าวๆ"
6.4.2. เหมือนนักประเมินของหายาก ซึ่งเดินผ่านแผงลอยในซอยเล็กๆ ก็บอกได้ว่า "นี่ของดี" ทั้งที่คนธรรมดาดูไม่ออก
7. เรื่องน่าห่วงในการลงทุน
7.1. กระจายความเสี่ยง
7.1.1. กระจายความเสี่ยง = ซื้อหุ้นหลายตัว
7.1.2. เราไม่ควรซื้อหุ้นตัวเดียว ไม่งั้นถ้าหุ้นนั้นผิดพลาด เราจะขาดทุนหนัก
7.1.3. ดร.นิเวศน์ มีหุ้น 10 ตัว แต่เงินส่วนใหญ่อยู่กับ 3-4 ตัวที่มั่นใจมาก
7.1.4. ดร.นิเวศน์ ไม่ถือเงินสด เพราะหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่า และเขาปกป้องความเสี่ยงจากการซื้อหุ้นหลายตัวแล้ว
7.2. หุ้นไม่มีคนซื้อขาย (ไม่มีสภาพคล่อง)
7.2.1. หุ้นบางตัวมีคนซื้อขายน้อย เราจะซื้อขายไม่ค่อยได้ ต้องค่อยๆ ซื้อ และค่อยๆ ขาย
7.2.2. นักลงทุนบางคนจะไม่ซื้อหุ้นพวกนี้เลย เพราะซื้อขายยาก
7.2.3. ดร.นิเวศน์มองว่า ถ้าบริษัทมีผลกำไรเติบโต หุ้นจะมีคนสนใจมากขึ้น และซื้อขายง่ายขึ้นเอง
7.2.3.1. ดร.นิเวศน์อยากบอกหุ้นพวกนี้ว่า "I am an investor, and I love you."
7.3. ผู้บริหาร
7.3.1. ความสามารถ
7.3.1.1. ไม่ใช่ปัญหามาก เพราะผลประกอบการส่วนใหญ่ มาจากตัวธุรกิจ ไม่ใช่ผู้บริหาร
7.3.1.2. ความคิดเห็นของบิงโก
7.3.1.2.1. ความสามารถของผู้บริหารจะเห็นชัดเจนขึ้น ถ้าผู้บริหารเป็น "คนที่สร้างบริษัทนั้นกับมือ"
7.3.1.2.2. คนที่สร้างบริษัทนั้นกับมือมักมีแนวคิด นิสัย หรือวิธีทำธุรกิจที่โดดเด่นกว่าผู้บริหารที่เลื่อนตำแหน่งขึ้นมา และมักทำธุรกิจนอกกรอบกว่า
7.3.2. ความซื่อสัตย์
7.3.2.1. สำคัญมาก ต้องหลีกเลี่ยงบริษัทที่ผู้บริหารทุจริต