
1. ผู้เขียน
1.1. เบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham)
1.1.1. เป็นอาจารย์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน
1.1.2. เป็นผู้บุกเบิกวิธีลงทุนที่ใช้กันในปัจจุบัน และได้รับการยกย่องเป็น "บิดาแห่งการลงทุนแนวเน้นคุณค่า" (Father of Value Investing)
1.1.3. ผลตอบแทนที่ทำได้ในยุคทอง = ปีละ 20% ต่อเนื่อง 20 ปี
1.1.4. ผลตอบแทนที่ทำได้ตลอดชีวิต = ปีละ 15% ในช่วงเวลา 40 ปี (268 เท่า)
2. ข้อคิดสำคัญ
2.1. นักลงทุนระดับโลกวอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่า "The best book on investing ever written." และบอกว่ามี 3 ข้อที่สำคัญมาก
2.1.1. ให้มองตลาดหุ้นเหมือนคนที่ชื่อ "นายตลาด" (Mr. Market) โดยทุกวัน Mr. Market จะเสนอขายหุ้นให้คุณในราคาต่างๆ กัน ให้คุณรอวันที่ Mr. Market งี่เง่า แล้วฉวยโอกาสซื้อหุ้นราคาถูก
2.1.2. หุ้นคือชิ้นส่วนของธุรกิจ และธุรกิจมีมูลค่าจากเงินที่มันทำได้ อย่าลืมเรื่องนี้เด็ดขาด
2.1.3. ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่ามากๆ เผื่อพลาด (Margin of Safety, ส่วนเผื่อความปลอดภัย)
2.2. ผลตอบแทนสูงไม่จำเป็นต้องมาพร้อมความเสี่ยง
2.2.1. แนวทางของ The Intelligent Investor คือการมองหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง และความเสี่ยงน้อย
2.2.2. ทำได้ด้วยการเลือกซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่า "มูลค่าที่แท้จริง" โดยมี Margin of Safety
2.3. ถ้าคุณไม่ชำนาญ ให้กระจายความเสี่ยงด้วยการซื้อหุ้น 10-30 ตัว แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าหุ้นของคุณดี คุณจะถือหุ้นน้อยตัวก็ได้
2.4. ราคาหุ้นในตลาดขึ้นลงตามอารมณ์ จงใช้ความผันผวนให้เป็นประโยชน์ ซื้อหุ้นเมื่อราคาถูก ขายหุ้นเมื่อราคาแพง
2.4.1. ถูก: ราคาหุ้น < มูลค่าธุรกิจ
2.4.2. แพง: ราคาหุ้น > มูลค่าธุรกิจ
2.5. ถ้าคุณซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง สุดท้ายคุณจะกำไร เมื่อราคากลับมาที่มูลค่าของมัน
2.6. มูลค่าหุ้นคือการประมาณ ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน มันขึ้นอยู่กับวิธีประเมิน
2.7. ทุกครั้งที่ซื้อหุ้น อย่าลืมส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety)
3. สไตล์การลงทุนของคุณ
3.1. นักลงทุน
3.1.1. นักลงทุนแบบสบายๆ (Passive Investor)
3.1.1.1. ใช้เวลาน้อยในการลงทุน
3.1.1.2. ไม่ต้องรู้จักธุรกิจมาก แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่ดี
3.1.1.3. มีผลตอบแทนพอสมควร แต่ไม่มากนัก
3.1.2. นักลงทุนแบบมุ่งมั่น (Active Investor)
3.1.2.1. มุ่งมั่นทุ่มเทชีวิตให้การลงทุน
3.1.2.2. ต้องหมั่นหาความรู้อยู่เสมอ
3.1.2.3. คนที่ประสบความสำเร็จจะได้ผลตอบแทนสูง และร่ำรวยขึ้นมาได้
3.1.3. - ซื้อหุ้นแล้วถือระยะยาวหลายปี - วิเคราะห์ธุรกิจก่อนลงทุน โดยซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าของธุรกิจ - รวยช้าแต่มั่นคง พยายามลดความเสี่ยงในการลงทุน
3.2. นักเก็งกำไร
3.2.1. หนังสือเล่มนี้เป็นแนวนักลงทุน ซึ่งไม่สอนวิธีเก็งกำไร!
3.2.2. - ซื้อขายหุ้นเร็ว บางคนซื้อขายทุกวัน - ทำกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น โดยไม่สนใจตัวธุรกิจของหุ้นนั้น - เน้นรวยเร็ว แต่ความเสี่ยงสูง
4. แก่นที่แท้จริงของการลงทุน
4.1. หุ้นคือ “สิทธิความเป็นเจ้าของบริษัท” วิธีรวยหุ้นจึงเป็นการซื้อหุ้น ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของบริษัท ซึ่งทำได้ 2 แนว
4.1.1. ซื้อหุ้นของบริษัทในราคาที่ต่ำกว่า "มูลค่าที่แท้จริง" แล้วขายในราคาแพงหรือราคาปกติ
4.1.2. ซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจที่ดี เมื่อธุรกิจเติบโต ราคาหุ้นก็สูงขึ้นเอง
4.2. มูลค่าหุ้นคือการประมาณ ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน
4.2.1. มูลค่าหุ้น = การตีค่าปัจจุบัน + การคาดเดาอนาคต
4.2.1.1. แต่ละคนให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ ไม่เท่ากัน จึงประเมินมูลค่าหุ้นต่างกัน
4.2.1.2. แต่ละคนคาดเดาอนาคตต่างกัน จึงประเมินมูลค่าหุ้นต่างกัน
4.2.2. การประเมินมูลค่าหุ้นคือศิลปะ
4.2.2.1. เอาพู่กันไปให้คน 5 คน แต่ละคนย่อมวาดภาพออกมาต่างกัน
4.2.2.2. การประเมินมูลค่าหุ้นก็เหมือนการวาดรูปพู่กัน ไม่มีใครประเมินออกมาเท่ากัน ขึ้นอยู่กับ "สไตล์"
4.2.2.3. เวลาประเมินมูลค่าหุ้น ให้คิดเผื่อกรณีที่แย่ไว้ก่อน แล้วซื้อในราคาที่ต่ำกว่านั้นพอสมควรเพื่อลดความเสี่ยง (Margin of Safety)
4.2.2.3.1. Margin of Safety (ส่วนเผื่อความปลอดภัย) คือการซื้อหุ้นให้ต่ำกว่ามูลค่า เพื่อลดความเสี่ยง
4.3. สไตล์ "ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของบริษัท" ของหนังสือ The Intelligent Investor จะชอบซื้อหุ้นโดยมองหาหุ้นที่ ธุรกิจเสถียรยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องโตเร็วมาก แต่เราเน้นซื้อในราคาถูกแทน
4.3.1. นักลงทุนในปัจจุบันหลายคน ได้พัฒนาจากเทคนิคนี้ และหันไปซื้อหุ้นที่ "ธุรกิจดี+โตเร็ว" โดยไม่จำเป็นต้องซื้อราคาถูกก็ได้
5. รู้จักกับนายตลาด (Mr. Market)
5.1. “นายตลาด” หรือ Mr. Market เป็นตัวละครสมมติที่เป็นตัวแทนของตลาดหุ้น
5.1.1. Mr. Market เป็นคนเจ้าอารมณ์และไม่ฉลาด
5.1.1.1. วันไหน Mr. Market อารมณ์ดีเขาจะซื้อ/ขายหุ้นในราคาสูง
5.1.1.2. วันไหน Mr. Market อารมณ์เสียเขาก็จะซื้อ/ขายหุ้นในราคาต่ำ
5.1.1.3. อารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปทุกวันอย่างไร้เหตุผล
5.1.2. Mr. Market ชอบปรับราคาหุ้นตามสารพัดข่าวต่างๆ
5.1.2.1. ถ้ามีข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับหุ้น Mr. Market จะซื้อขายหุ้นตัวนั้นในราคาถูกทันทีโดยไม่สนใจพื้นฐานทางธุรกิจ
5.1.2.2. ถ้าเศรษฐกิจเกิดฟองสบู่ที่ร้อนแรง Mr. Market ก็จะซื้อขายหุ้นในราคาโอเว่อร์โดยไม่สนใจตัวธุรกิจเช่นกัน
5.1.3. Mr. Market ชอบฝันเพ้อเจ้อ
5.1.3.1. บางวัน Mr. Market จะเชื่อว่าบางธุรกิจกำลังจะมีกำไรมหาศาล ทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้
5.2. ให้คุณมองว่าการที่ตลาดหุ้นขึ้นลงตลอดเวลา ก็เหมือนกับ Mr. Market ที่อารมณ์แปรปรวน อย่าไปใส่ใจมาก เพราะหุ้นจะขึ้นหรือลงมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ ไม่ได้มีเหตุผลนัก
5.3. ข้อคิดจาก Mr. Market
5.3.1. ราคาหุ้นต่างจากมูลค่าหุ้น
5.3.1.1. มูลค่าหุ้นมาจากทรัพย์สินและกำไรของบริษัท
5.3.1.2. ราคาหุ้นคือสิ่งที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของ Mr. Market ทุกวัน
5.3.2. ในระยะสั้น ราคาหุ้นจะเป็นเท่าไรก็ได้ แต่ในระยะยาว ราคาหุ้นจะกลับมาที่มูลค่าของมัน
5.3.2.1. ในระยะสั้น ตลาดหุ้นคือเครื่องนับคะแนน (ว่าบรรดานักลงทุนชอบหุ้นตัวไหน)
5.3.2.2. ในระยะยาวตลาดหุ้นคือเครื่องชั่ง (ว่าหุ้นมีมูลค่าจริงเท่าไร)
5.3.3. ความผันผวนคือโอกาส
5.3.3.1. เนื่องจากราคาหุ้นเปลี่ยนทุกวัน ทั้งที่มูลค่าเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ คุณจึงสามารถ "เอาเปรียบ" Mr. Market ได้
5.3.3.1.1. ซื้อหุ้นจาก Mr. Market เมื่อราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
5.3.3.1.2. ขายหุ้นให้ Mr. Market เมื่อราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง
6. กลยุทธ์การลงทุนแบบ VI สไตล์ต้นตำรับ
6.1. นักลงทุนแบบออกแรงน้อย (Passive Investor) เหมาะสำหรับคนสบายๆ ที่ไม่อยากใช้เวลาอยู่กับหุ้นทั้งวัน
6.1.1. การบริหารสินทรัพย์
6.1.1.1. แบ่งเงินเป็น 2 ก้อน คือหุ้น 50% และพันธบัตร 50%
6.1.1.1.1. กลยุทธ์
6.1.1.1.2. ทำแบบนี้ทำไม?
6.1.1.1.3. ความคิดเห็นของบิงโก
6.1.2. กฎการคัดเลือกหุ้น
6.1.2.1. กระจายความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นหลายตัว (10-30 ตัว)
6.1.2.1.1. กระจายความเสี่ยง เพื่อไม่ให้หุ้นเพียงตัวเดียวทำเราขาดทุนหนัก
6.1.2.2. ถือหุ้นบริษัทใหญ่ที่มั่นคง
6.1.2.3. บริษัทมีทรัพย์สินระยะสั้นอย่างน้อย 2 เท่าของหนี้สินระยะสั้น
6.1.2.4. บริษัทจ่ายปันผลต่อเนื่องมานานกว่า 20 ปี
6.1.2.5. ตลอด 10 ปีให้หลังไม่เคยขาดทุนเลย
6.1.2.6. เติบโตอย่างต่ำปีละ 2% มานานเกิน 10 ปี
6.1.2.7. มูลค่าตลาด (Market Cap) < ทรัพย์สิน - 1.5*หนี้สิน
6.1.2.7.1. Market Cap = Market Capitalization = ราคาของทั้งบริษัท ถ้าจะซื้อหุ้นทั้งหมดที่มี
6.1.2.7.2. หาได้จากราคาหุ้น x จำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
6.1.2.8. สัดส่วน P/E < 15
6.1.2.8.1. P/E คำนวณได้จาก "ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น"
6.1.3. จังหวะเข้าซื้อ
6.1.3.1. ใช้เทคนิค Dollar Cost Average (DCA) โดยนำรายได้ประจำทุกๆ เดือนมาลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
6.1.3.2. คิดเสมือนการลงทุนเป็นการออมเงิน ซึ่งจะเติบโตไปเรื่อยๆ พร้อมกับเรา
6.2. นักลงทุนแบบออกแรงมาก (Active Investor) เหมาะสำหรับคนที่อยากรวยเร็ว
6.2.1. กฎการคัดหุ้นจะต่างจาก Passive Investor
6.2.1.1. กระจายความเสี่ยง ด้วยการถือหุ้นหลายตัว "บ้าง" แต่ไม่ต้องถึงกับ 10-30 ตัว
6.2.1.1.1. (เพิ่มเติมจากในหนังสือ) วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) คิดยังไงกับการกระจายความเสี่ยง?
6.2.1.2. บริษัทจะใหญ่หรือเล็กก็ได้
6.2.1.3. บริษัทมีทรัพย์สินระยะสั้นอย่างน้อย 1.5 เท่าของหนี้สินระยะสั้น
6.2.1.4. ปีที่แล้วจ่ายปันผล
6.2.1.5. ตลอด 5 ปีให้หลังไม่เคยขาดทุน
6.2.1.6. 5 ปีให้หลังบริษัทไม่หดตัวก็ใช้ได้
6.2.1.7. มูลค่าตลาด (Market Cap) < ทรัพย์สินที่จับต้องได้ - 1.2*หนี้สิน
6.2.1.7.1. ทรัพย์สินที่จับต้องได้ (Tangible Assets) จะนับเฉพาะทรัพย์สินที่มีอยู่จริง เช่น เงินสด ที่ดิน โรงงาน อุปกรณ์ ฯลฯ แต่ไม่นับลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า หรือ "มูลค่าแบรนด์"
6.2.1.7.2. Market Cap = Market Capitalization = ราคาของทั้งบริษัท ถ้าจะซื้อหุ้นทั้งหมดที่มี
6.2.1.7.3. หาได้จากราคาหุ้น x จำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
6.2.1.8. สัดส่วน P/E จะเป็นเท่าไรก็ได้ เอาที่สบายใจเลย
6.2.1.8.1. P/E คำนวณได้จาก "ราคาหุ้น/กำไรต่อหุ้น"
6.2.2. ให้ประเมิน "มูลค่าที่แท้จริง" (Intrinsic Value) ของบริษัท แล้วซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง จากนั้นรอให้ราคาหุ้นกลับสู่มูลค่าที่แท้จริง แล้วเราก็จะได้กำไร
6.2.2.1. ยิ่งเราซื้อหุ้นได้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก ก็ยิ่งกำไรมาก
6.2.3. ก่อนลงทุนทุกครั้ง ควรอ่านงบการเงินของบริษัทที่เราจะลงทุนด้วย
6.2.4. หลายคนยอมจ่ายแพงในรูปของ P/E ที่สูงหรือบริษัทยังไม่มีกำไร เพื่อซื้อหุ้นที่มีความคาดหวังในอนาคตสูง แต่หนังสือ The Intelligent Investor ไม่แนะนำแนวนี้
6.2.4.1. เพราะหุ้นแบบนี้ความเสี่ยงสูง ที่กำไรในอนาคตจะไม่เป็นไปตามคาด และราคาหุ้นจะหล่นวูบ
6.2.4.2. เช่น พวกหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่ขาดทุนติดต่อกันหลายปี แต่คาดหวังว่าในอนาคตจะมีกำไร
6.2.4.3. บริษัท AYX ประกาศว่ายอดขายจะไม่โตตามคาด ราคาหุ้นร่วงวันเดียว 30% จากยอดสูงสุด 180 เหลือ 110 ในเวลาไม่กี่วัน
7. ส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety)
7.1. ให้เลือกซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่า "มูลค่าที่แท้จริง" โดยเผื่อไว้เยอะๆ
7.1.1. เช่น ถ้าเราประเมินว่าหุ้นมีมูลค่าที่แท้จริงเป็น 30 บาท เราก็ไม่ควรซื้อที่ราคา 29 บาท แต่ควรซื้อสัก 20 บาท
7.1.2. ราคาซื้อ < 2/3 ของมูลค่าที่แท้จริง
7.2. ทำไม?
7.2.1. เราอาจพลาดประเมินมูลค่าผิด แต่ถ้าเราซื้อในราคาต่ำไว้เผื่อแล้ว เราก็จะไม่ขาดทุนหนัก
7.2.2. กำไรของนักลงทุนเกิดจากการซื้อหุ้น ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ดังนั้นถ้าเราอยากได้กำไรเยอะ เราก็ต้องซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าเยอะๆ
8. วิธีประเมินมูลค่าหุ้น
8.1. ประเมินจากกำไร
8.1.1. หลักการ
8.1.1.1. มูลค่าของบริษัทขึ้นอยู่กับกำไร
8.1.1.1.1. ดังนั้น มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น = กำไรต่อหุ้น x อัตราส่วน P/E
8.1.2. เวลาใช้จริงทำไง
8.1.2.1. เช่น ถ้าหุ้นโตปีละ 10% และมีกำไร 100 บาทต่อหุ้น
8.1.2.1.1. P/E ที่เหมาะสม = 8.5 + 2xอัตราการเติบโต = P/E (8.5 + 2x10) = 28.5 เท่า
8.1.2.1.2. มูลค่า = กำไร x P/E = 100 x 28.5 = 285 บาท
8.1.3. ข้อจำกัด
8.1.3.1. บางบริษัทยังไม่มีกำไรในปัจจุบัน แต่มีกำไรในอนาคตซึ่งยังบอกได้ไม่ชัดเจน จึงดูมูลค่าจากกำไรในปัจจุบันไม่ได้
8.1.3.2. บางบริษัทมีกำไรไม่เสถียร บางปีกำไร บางปีขาดทุน จึงดูจากกำไรในปัจจุบันไม่ค่อยได้
8.1.3.2.1. เช่น หุ้นกลุ่มโภคภัณฑ์ (Commodity) จะมีกำไรแกว่งตามราคาสินค้าชนิดนั้น บางปีขาดทุน บางปีกำไรมโหฬาร
8.1.3.2.2. โภคภัณฑ์ (Commodity) หมายถึงสินค้าพื้นฐานที่ลักษณะคล้ายกันทั่วโลก ทดแทนกันได้ เช่น ทองคำ น้ำมัน เหล็ก น้ำตาล ถั่วเหลือง เป็นต้น
8.2. ประเมินจากทรัพย์สิน
8.2.1. หลักการ
8.2.1.1. มูลค่าของบริษัท = ทรัพย์สินที่มีค่า - หนี้สิน
8.2.1.2. แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครรู้จริงว่า "ทรัพย์สินที่มีค่า" ของบริษัทมีเท่าใดบ้าง
8.2.1.2.1. เช่น ถ้าบริษัทมีโรงงาน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าโรงงานนี้มีค่าแค่ไหน
8.2.1.2.2. การตี "มูลค่าของโรงงาน" จึงขึ้นอยู่กับวิธีวิเคราะห์ของแต่ละคน
8.2.1.3. เนื่องจาก "ทรัพย์สินที่มีค่า" นั้นระบุได้ยาก เราจึงต้องตั้งกฎขึ้นมา โดยนับเฉพาะสิ่งที่เราตีมูลค่าได้ง่าย ส่วนทรัพย์สินอื่นที่ตีมูลค่ายากก็ให้คิดเสียว่าไม่มี
8.2.1.3.1. สมมติบริษัทมีเงินสดอยู่ 1 ล้าน
8.2.1.3.2. สมมติบริษัทมี "เครื่องจักร" ที่ลงบัญชีไว้ว่ามีมูลค่า 1 ล้าน
8.2.1.3.3. สมมติบริษัทมีหนี้สินอยู่ 10 ล้าน
8.2.2. เวลาใช้จริงทำไง
8.2.2.1. ไม่ควรทำ: ตามตัวเลขทางบัญชี
8.2.2.1.1. มูลค่าบริษัท = ทรัพย์สิน - หนี้สิน
8.2.2.2. ปกติ: กรณีเผื่อพลาด (Margin of Safety พอสมควร)
8.2.2.2.1. มูลค่าบริษัท = นับแค่ทรัพย์สินที่เรามั่นใจ ว่ามีมูลค่าตามนั้นจริงๆ - หนี้สิน
8.2.2.3. กำไรงาม: กรณีอยากได้กำไรเยอะๆ (Margin of Safety สูง)
8.2.2.3.1. มูลค่าบริษัท = ทรัพย์สินหมุนเวียน (Current Assets) - หนี้สิน
8.2.3. ข้อจำกัด
8.2.3.1. วิธีนี้ไม่ได้ดูมูลค่าจากกำไรในอนาคตเลย การประเมินมูลค่าแบบนี้ทำให้เราเห็นมูลค่าบริษัทที่ "อนาคตไกล" ต่ำกว่าความเป็นจริง