1. ปะเภทของการสัมมนา
1.1. Theatre
1.1.1. ข้อดี คือ จุดโฟกัสทั้งหมดจะถูกส่งไปที่วิทยากรด้านหน้าเวทีเพียงจุดเดียว และมีการใช้พื้นที่ห้องประชุมอย่างคุ้มค่า และเต็มพื้นที่มากที่สุด เหมาะมากสำหรับการฝึกอบรมแบบบรรยายที่เน้นเนื้อหา และมีการฉายภาพบนจอ
1.1.2. ข้อเสีย คือ ไม่มีโต๊ะตรงที่นั่ง ทำให้ผู้เข้าร่วมอบรมวางสิ่งของเกะกะ ดังนั้น ผู้จัดควรตั้งโต๊ะไว้ด้านข้างของห้องประชุมเพื่อให้ผู้เข้าอบรมนำสิ่งของมาวางไว้ได้
1.2. Classroom
1.2.1. รูปแบบไม่ต่างจากแบบ Theatre เท่าไหร่นัก แค่เพิ่มโต๊ะตรงที่นั่งให้ผู้ร่วมอบรมได้วางสิ่งของ โดยมากจะมีกระดาษ A4พร้อมทั้งดินสอวางไว้อยู่บนโต๊ะให้ด้วยเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมจดตามสิ่งที่วิทยากรบรรยายได้ และที่ขาดไม่ได้ควรจะมีน้ำดื่มพร้อมลูกอมตั้งไว้ประจำแต่ละโต๊ะด้วย
1.2.2. ข้อเสีย ต้องใช้พื้นที่พอสมควรเพื่อไม่ให้เมื่อเข้าไปนั่งแล้วรู้สึกอึดอัด ดังนั้นขนาดของห้องที่ใช้ต้องรองรับผู้เข้าอบรมได้โดยไม่แน่นจนเกินไป
1.3. U-Shape
1.3.1. เหมาะสำหรับการบรรยายที่วิทยากรต้องการความใกล้ชิดกับผู้เข้าร่วมการอบรม เพราะถือไมค์เดินเข้าหา พูดคุย ผู้เข้าอบรมได้สะดวก Eye Contact ได้ง่าย วิทยากรสามารถทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เล่นเกม ย้ายที่ไปมาได้สะดวก และรูปแบบสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
1.3.2. ข้อเสีย คือ หากผู้เข้าอบรมมีจำนวนมาก ก็ต้องใช้ห้องประชุมที่ใหญ่ตาม และไม่ควรจัด U-Shape หากผู้อบรมมีมากกว่า 200 คนขึ้นไป เพราะจะทำให้วงกว้างเกินกว่าที่วิทยากรจะควบคุมได้
1.4. Conference
1.4.1. เหมาะสำหรับการประชุมที่ต้องการการระดมสมอง เพื่อแก้ปัญหา เพื่อหาข้อสรุป หรือเน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการประชุม เหมาะสำหรับการประชุมกลุ่มย่อยๆตั้งแต่ 10 – 50 คน
1.5. Banquet
1.5.1. เป็นการจัดห้องในรูปแบบของการจัดเลี้ยงที่ต้องการความสนิทสนมกันในระหว่างรับประทานอาหาร ในหนึ่งโต๊ะสามารถจัดได้ตั้งแต่ 8-25 ที่นั่ง มักพบการจัดห้องประชุมลักษณะนี้ในที่ประชุมที่ต้อง Workshop ระดมสมอง แต่ห้องประชุมมีลักษณะแคบและยาว
1.6. Banquet Rounds
1.6.1. เป็นการจัดโต๊ะจัดเลี้ยงอีกรูปแบบหนึ่ง หรือถ้าเป็นการจัดประชุมก็จะเป็นการประชุมที่มีการจัดworkshop หรือมีการระดมความคิดเช่นเดียวกับการจัดแบบ Banquet ทั่วไป จำนวนสมาชิกในแต่ละกลุ่มย่อยไม่ควรเกิน 5- 10 คน
2. ขั้นตอน
3. ประโยชน์ของการสัมมนา
4. หลักการและแนวคิดในการจัดสัมมนา
4.1. กระบวนการกลุ่ม
4.1.1. สัมมนาเป็นการประชุมของกลุ่มคนที่มีความสนใจเรื่องเดียวกัน อยู่ในแวดวงเดียวกันมาร่วมคิด ร่วมทำงานกันเพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกัน เช่น แก้ไขปัญหา สร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน คิดหาแนวทาง แนวปฏิบัติงาน
4.2. การสร้างวิธีการคิดแก่สมาชิก
4.2.1. การระดมความคิด (Brainstorming) หรือพายุแห่งความคิด เพราะ “ความคิดคือหัวใจของการสัมมนา”
4.3. การสร้างแรงจูงใจในการสัมมนา
4.3.1. การจัดสัมมนาที่ดีและให้ได้ผลจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกมีความต้องการ กระตือรือร้นที่จะทุ่มเททำงาน แก้ไขปัญหาให้ลุล่วง
5. วัตถุประสงค์
5.1. เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นเพื่อหาข้อสรุปในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
5.2. เป็นการประชุมเพื่อต้องการแสวงหา แนวทางและความคิดใหม่ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
5.3. ในวงการศึกษา สัมมนาเป็นวิชาที่เปิดสอนให้นักศึกษา ได้ร่วมกันศึกษาปัญหาและประชุมอภิปรายกัน
6. ความหมาย
6.1. สัมมนา มาจากคำว่า สำ + มน แปลว่า ร่วมใจ เป็นศัพท์บัญญัติให้ตรงกับคำว่า Seminar
6.2. Seminar หมายถึง การประชุมที่สมาชิกซึ่งมีความรู้ ความสนใจในเรื่องเดียวกันมาประชุมด้วยความร่วมใจ ปรึกษาหารือ ร่วมใจกันคิดช่วยกันแก้ปัญหา
6.3. การประชุมตามหัวข้อที่กำหนดไว้ เพื่อมุ่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาใด ปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะทำการอภิปรายอย่างเสรีและช่วยกันระดมความคิดหาข้อสรุปผลและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหานั้น
7. องค์ประกอบของการสัมมนา
7.1. ชื่อโครงการสัมมนา : ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับการสัมมนา
7.2. หลักการและเหตุผลที่ต้องมีการสัมมนา
7.3. วัตถุประสงค์
7.4. กลุ่มเป้าหมาย
7.5. วิทยากร
7.6. ระยะเวลา
7.7. สถานที่
7.8. วิธีการสัมมนา
7.9. กำหนดการสัมมนา
7.10. งบประมาณที่ใช้
7.11. การประเมินผล :ทำภายหลังการจัดสัมมนาแล้ว
7.11.1. แสดงรายละเอียดในเรื่องเวลาและเรื่องที่จะสัมมนา
7.11.2. เพื่อทราบสภาพปัญหา ประสิทธิผลและการปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องต่างๆ ในครั้งต่อไป
7.11.3. แบ่งได้ 4 ส่วน คือ ตัวโครงการ, สภาพความพร้อม, การดำ เนินโครงการ และสภาพเมื่อสิ้นสุดโครงการ