1. กระบวนทัศน์หลักเกี่ยวกับทฤษฎี
1.1. บุคคล หมายถึง คนหรือมนุษย์ที่เป็นผู้รับบริการที่ประกอบด้วย ชีวะ จิต สังคม และมีระบบการปรับตัวเป็นองค์รวม มีลักษณะเป็นระบบเปิด
1.2. ภาวะสุขภาพ หมายถึง สภาวะและกระบวนการที่ทำให้บุคคลมีความมั่นคงสมบูรณ์
1.3. สิ่งแวดล้อม หมายถึง ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวบุคคลทั้งภายในและภายนอก ซึ่งรอยได้เรียกสิ่งแวดล้อมว่าเป็นสิ่งเร้า มี 3 ประเภท คือ
1.3.1. สิ่งเร้าตรง
1.3.2. สิ่งเร้าร่วม
1.3.3. สิ่งเร้าแฝง
1.4. การพยาบาล การช่วยเหลือให้กับบุคคล กลุ่มบุคคล ครอบครัว ชุมชน และการพยาบาลมีเป้าหมายส่งเสริมให้มีการปรับตัวที่เหมาะสมของบุคคลและสิ่งแวดล้อมที่เป็นสาเหตุ เพื่อบรรลุซึ่งการมีสภวะสุขภาพและคุณภาพชีวิต
2. ทฤษฎีการปรับตัวของรอยกับกระบวนการทางพยาบาล
2.1. ขั้นตอนที่ 1 การประเมินสภาวะ
2.1.1. 1.ประเมินพฤติกรรม ปฏิกริยาตอบสนองของผู้ป่วยต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งเร้า
2.1.2. 2. ประเมินองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการปรับตัว ประเมินหรือค้นหาสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาการปรับตัว
2.2. ขั้นตอนที่ 2 การวินิจฉัยการพยาบาล
2.2.1. จะกระทำหลังการประเมินสภาวะ โดยการระบุปัญหาที่ประเมินได้ และระบุสิ่งเร้าที่เป็นสาเหตุของปัญหา
2.3. ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการพยาบาล
2.3.1. กำหนดเป้าหมายการพยาบาลหลังจากที่ได้ระบุปัญหาและสาเหตุ จุดมุ่งหมายของการพยาบาลคือการปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไปสู่พฤติกรรมที่เหมาะสม
2.4. ขั้นตอนที่ 4 การปฏิบัติการพยาบาล
2.4.1. ขั้นตอนการปฏิบัติการพยาบาลเป็นขั้นตอนที่ 5 ตามแนวคิดของรอย โดยเน้นจัดการกับสิ่งเร้า หรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของการเกิดปัญหาการปรับตัว โดยทั่วไปมักจะมุ่งปรับสิ่งเร้าตรงก่อนเนื่องจากเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหา ขั้นต่อไปจึงพิจารณาปรับสิ่งเร้าร่วมหรือสิ่งเร้าแฝง และส่งเสริมการปรับตัวให้เหมาะสม
2.5. ขั้นตอนที่ 5 การประเมิน
2.5.1. ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาลคือ การประเมินผลการพยาบาล โดยดูว่าการพยาบาลที่ให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่
3. มโนทัศน์หลักในทฤษฎีการปรับตัวของรอย
3.1. บุคคลเป็นระบบการปรับตัว (Human as Adaptive system)
3.1.1. สิ่งนำออกหรือผลรับ
3.1.1.1. เป็นผลของการปรับตัวของบุคคลที่จะสังเกตได้จากพฤติกรรมการปรับตัวทั้ง 4 ด้าน
3.1.2. สิ่งนำเข้า
3.1.2.1. สิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมหรือจากตัวบุคคลและระดับการปรับตัวของบุคคล
3.1.3. กระบวนการ
3.1.3.1. กลไลการควบคุม เกิดขึ้นในระบบตามธรรมชาติ นั่นคือ การปรับตัวพื้นฐานของบุคคล
3.1.3.2. กลไกการรับรู้ เกิดจากการเรียนรู้ คือ การทำงานของจิตและอารมณ์ 4 กระบวนการ ได้แก่
3.1.3.2.1. การรับรู้
3.1.3.2.2. การเรียนรู้
3.1.3.2.3. การตัดสินใจ
3.1.3.2.4. การแก้ปัญหา
3.2. พฤติกรรมการปรับตัว (Adaptive Mode)
3.2.1. ด้านร่างกาย
3.2.1.1. วิธีการตอบสนองด้านร่างกายต่อสิ่งเร้าโดยสะท้อนให้เห็นการทำงานระดับเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ
3.2.1.1.1. การรับความรู้สึก
3.2.1.1.2. น้ำและอิเลคโตรลัยท์
3.2.1.1.3. การทำงานของระบบประสาท
3.2.1.1.4. การทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ
3.2.2. ด้านอัตมโนทัศน์
3.2.2.1. อัตมโนทัศน์ด้านร่างกาย
3.2.2.1.1. ด้านรับรู้ความรู้สึกด้านร่างกาย
3.2.2.1.2. ด้านภาพลักษณ์ของตนเอง
3.2.2.2. อัตมโนทัศน์ส่วนบุคคล
3.2.2.2.1. ด้านความมั่นคงในตนเอง
3.2.2.2.2. ด้านความคาดหวัง
3.2.2.2.3. ด้านศีลธรรมจรรยา
3.2.3. ด้านบทบาทหน้าที่
3.2.3.1. บทบาทปฐมภูมิ
3.2.3.1.1. ( Primary role ) ป็นบทบาทที่มีติดตัว เกิดจากพัฒนาการช่วงชีวิตช่วยในการคาดคะเนว่าแต่ละบุคคลควรมีพฤติกรรมอย่างไร
3.2.3.2. บทบาททุติยภูมิ
3.2.3.2.1. ( Secondary role)เกิดจากพัฒนาการทางด้านสังคมการเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ
3.2.3.3. บทบาทตติยภูมิ
3.2.3.3.1. ( Tertiary role ) ป็นบทบาทชั่วคราวที่บุคคลมีอิสระที่จะเลือกเพื่อส่งเสริมให้บรรลุซึ่งเป้าหมายบางอย่างของชีวิต สิ้นสุดการสนทนาผ่านแชท
3.2.4. ด้านการพึ่งพาระหว่างกัน
3.2.4.1. สัมพันธภาพกับบุคคลใกล้ชิด
3.2.4.1.1. บุคคลมีความสำคัญต่อตนเองมากที่สุด
3.2.4.2. สัมพันธภาพกับระบบสนับสนุน
3.2.4.2.1. บุคคลอื่นๆที่เกี่ยวข้องและพึ่งพาซึ่งกันและกัน
3.3. สิ่งเร้า (stimuli)
3.3.1. สิ่งเร้าตรง
3.3.1.1. สิ่งเร้าที่บุคคลเผชิญโดยตรงและมีความสำคัญมากที่สุดที่ทำให้บุคคลต้องปรับตัว เช่น ได้รับการผ่าตัดหรือการฉายรังสี เป็นต้น
3.3.2. สิ่งเร้าร่วม
3.3.2.1. สิ่งเร้าอื่น ๆ ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อม และมีความเกี่ยวข้องกับการปรับตัวของบุคคลนั้น
3.3.2.1.1. เช่น คุณลักษณะทางพันธุกรรม เพศ ระยะพัฒนาการของบุคคล ยา สุรา บุหรี่ อัตมโนทัศน์ การพึ่งพาระหว่างกัน
3.3.3. สิ่งเร้าแฝง
3.3.3.1. สิ่งเร้าที่เป็นผลมาจากประสบการณ์ในอดีตซึ่งเกี่ยวกับทัศนคติ อุปนิสัยและบุคลิกภาพเดิม สิ่งเร้าในกลุ่มนี้บางครั้งตัดสินยาก ว่ามีผลต่อการปรับตัวหรือไม่