สร้างสไตล์การลงทุนของคุณ ตามนักลงทุนระดับโลก The Winning Investment Habits of Warren Buffett & Ge...

Jetzt loslegen. Gratis!
oder registrieren mit Ihrer E-Mail-Adresse
สร้างสไตล์การลงทุนของคุณ ตามนักลงทุนระดับโลก The Winning Investment Habits of Warren Buffett & George Soros von Mind Map: สร้างสไตล์การลงทุนของคุณ ตามนักลงทุนระดับโลก The Winning Investment Habits of Warren Buffett & George Soros

1. วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) คือใคร?

1.1. นักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี และสนใจการลงทุนขึ้นมา

1.2. ตั้งแต่เป็นเด็กอายุ 13 ขวบ บัฟเฟตต์ก็เริ่มหัดเป็นเถ้าแก่ เขาซื้อเครื่องพินบอลเครื่องละ $25 มาตั้งในร้านตัดผม ไม่นานเขาก็ขยายธุรกิจจนมี 7 เครื่อง

1.3. ในปี 2017 มีคนยอมจ่ายเงิน $3.7 ล้าน เพื่อทานข้าวกลางวันกับปู่บัฟเฟตต์ (เงินก้อนนี้ถูกบริจาคเข้ากองทุนช่วยคนยากจน)

1.4. ผลตอบแทนปีละ 30% ในยุคทองช่วงอายุ 30-40 และผลตอบแทนปีละ 20% ตลอดชีวิตการลงทุนกว่า 60 ปี ในปี 2018 เขามีทรัพย์สิน 88 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่ได้บริจาคเงินไปแล้วกว่า 40 พันล้านดอลลาร์

2. จอร์จ โซรอส (George Soros) คือใคร?

2.1. พ่อมดการเงินผู้เก่งกาจในการเก็งกำไร เขาชำนาญตลาดเงิน การคาดเดาทิศทางตลาด และจิตวิทยานักลงทุน

2.2. วีรกรรมที่โด่งดังที่สุดคือการทุบค่าเงินปอนด์อังกฤษ และเงินบาทไทย จนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจใหญ่ทั้ง 2 ครั้ง

2.3. จอร์จ โซรอส เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุด เขาทำผลตอบแทนได้ปีละ 29% เป็นเวลา 35 ปี เขาหาเงินจากการลงทุนได้กว่า 40 พันล้านดอลลาร์ แต่บริจาคเข้าการกุศลเกือบหมด

2.4. คนไทยอาจมองว่าจอร์จ โซรอส คือปีศาจที่ก่อวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 แต่หลายประเทศมองว่าโซรอสคือพ่อพระ เขาบริจาคเงินเพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย สร้าง "สังคมเปิด" ทั่วโลก และให้ทุนการศึกษาแก่เด็กประเทศกำลังพัฒนา

3. ข้อคิดสำคัญ

3.1. นักลงทุนระดับโลกไม่กระจายความเสี่ยง ถ้าพวกเขามั่นใจอะไร พวกเขาลงเงินเต็มที่

3.2. ทั้งบัฟเฟตต์และโซรอสมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเงิน พวกเขาบริจาคเงินที่หามาได้แทบทั้งหมด (บัฟเฟตต์ประกาศว่าจะบริจาคเงิน 99% ก่อนตาย ส่วนโซรอสให้ไปแล้ว 79%)

3.3. นักลงทุนระดับโลกลงทุนได้ผลตอบแทนสูง ทั้งที่กลัวความเสี่ยง ทั้งบัฟเฟตต์และโซรอส ปิดความเสี่ยงก่อนลงทุนเสมอ พวกเขาจะขาดทุนให้น้อยที่สุด

3.4. นักวิชาการเชื่อว่าตลาดหุ้น/ตลาดเงินมีการแข่งขันสูง ไม่มีใครทำกำไรได้เกินค่าเฉลี่ย แต่นักลงทุนระดับโลกต่างดูถูกแนวคิดนี้ "ตลาดมีช่องโหว่เสมอ"

3.5. นักลงทุนระดับโลกไม่สนใจ "บทวิเคราะห์" จากสำนักข้อมูลต่างๆ ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง พวกเขาหาข้อมูลและลงทุนตามความเชื่อของตัวเอง

4. วิธีคิดที่ตรงกันของนักลงทุนระดับโลก

4.1. นักลงทุนระดับโลก เห็นตรงกันว่า ไม่มีทางคาดการณ์ตลาดหุ้น เศรษฐกิจ อนาคต ฯลฯ ได้ถูกต้อง 100%

4.1.1. นักลงทุนระดับโลกสามารถวิเคราะห์ปัจจุบันได้ปรุโปร่ง แต่ยอมรับว่าอนาคตคาดการณ์ได้ยาก

4.1.2. นักลงทุนระดับโลกดูสถานการณ์ปัจจุบัน และตัดสินใจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์

4.1.3. โซรอสเคยเล่าแนวคิดของตัวเอง เขาเชื่อว่าอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เพราะอนาคตขึ้นกับการตัดสินใจของคน ซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (หุ้นขึ้น คนก็เปลี่ยน หุ้นลง คนก็เปลี่ยน เดาไม่ถูก)

4.1.3.1. โซรอสพูดไว้ว่า "My financial success stands in stark contrast with my ability to forecast events."

4.1.3.2. เขาแค่มองว่า "จากสถานการณ์ปัจจุบัน ซื้ออะไรน่าจะกำไรง่ายที่สุด" แล้วลงทุนไปตามนั้น

4.1.4. บัฟเฟตต์ไม่สนใจเศรษฐกิจเลยด้วยซ้ำ เขาแค่ดูว่าบริษัทดี ราคาไม่แพง แล้วก็ซื้อหุ้น จบ

4.2. กลัวความเสี่ยง ปกป้องเงินต้นเสมอ

4.2.1. “กฎข้อที่ 1: อย่าขาดทุน กฎข้อที่ 2: อย่าลืมกฎข้อที่ 1” — วอร์เรน บัฟเฟตต์

4.2.2. “เอาให้รอดก่อน แล้วหากำไรทีหลัง” — จอร์จ โซรอส

4.2.3. “ถ้าคุณไม่กล้าเดิมพัน คุณไม่มีทางชนะ แต่ถ้าชิปคุณหมด คุณจะเดิมพันไม่ได้” — แลร์รี่ ไฮท์

4.2.4. สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนไม่ใช่กำไร มันคือการรักษาเงินต้นไว้

4.2.5. ถ้าคุณขาดทุน 90% คุณจะต้องกำไร 10 เท่า เพียงเพื่อให้ได้เงินต้นกลับมา

4.2.5.1. แทบเป็นไปไม่ได้ในเวลาสั้นๆ ต่อให้เป็นวอร์เรน บัฟเฟตต์ มาลงทุนให้คุณ จะเอา 10 เท่าก็ใช้เวลาเกิน 10 ปี

4.2.5.2. อย่าขาดทุนขนาดนั้นแต่แรก จะดีที่สุด

4.2.6. ถ้าไม่เสี่ยง แล้วทำไมลงทุนได้ผลตอบแทนสูง? พวกเขาจะลงทุนสิ่งที่ไม่เสี่ยงและโอกาสกำไรเยอะ

4.2.6.1. บัฟเฟตต์

4.2.6.1.1. ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับความรู้ ถ้าเรารู้ว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้นแน่ๆ เราก็ซื้อได้โดยไม่เสี่ยง

4.2.6.1.2. ในปี 1973 ตลาดหุ้นอเมริกาตกหนัก ราคาหุ้นดีๆ ร่วงลงมาถึง 80% ทั้งที่ธุรกิจยังดีอยู่

4.2.6.1.3. บัฟเฟตต์มองว่าธุรกิจหนังสือพิมพ์ Washington Post มีมูลค่าต่อหุ้น $140 แต่ราคาหุ้นตอนนั้นคือ $27 เขาจึงเข้าซื้อทันที

4.2.6.1.4. ในทางกลับกัน นักลงทุนคนอื่นไม่ได้มองว่า "มูลค่าของธุรกิจ" คือเท่าไร พวกเขาแค่คิดว่า "หุ้นตก แย่แล้ว ขายๆๆๆ" จึงพลาดโอกาสงามนี้ไป

4.2.6.2. โซรอส

4.2.6.2.1. ประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา ว่าการลงทุนของเราเสี่ยงไปหรือยัง ถ้าไม่แน่ใจต้องถอยให้เร็วที่สุด เอาตัวรอดไว้ก่อน

4.2.6.2.2. ในปี 1987 โซรอสเดิมพันไว้ว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะถล่ม และตลาดหุ้นอเมริกาจะขึ้น

4.2.6.2.3. ปรากฏว่าตลาดอเมริกาตก 22.6% และตลาดญี่ปุ่นยืนได้ เพราะธนาคารกลางญี่ปุ่นเข้ามาซื้อหุ้น โซรอสขาดทุนหนัก

4.2.6.2.4. โซรอสไม่เสี่ยงให้ขาดทุนจนหมดตัว เขารีบขายหุ้นอเมริกาทิ้งทันทีที่ราคา 230 แต่ไม่มีคนซื้อ เขาลดราคาไป 220, 215, 205, 200 จนกระทั่งขายได้ที่ 195

4.2.6.2.5. พอขายเสร็จ หุ้นอเมริกาก็เด้งกลับ แต่โซรอสไม่สนใจ เขาปิดความเสี่ยงที่จะหมดตัวไปแล้ว นั่นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาอยู่รอด

4.2.7. รู้ตั้งแต่ลงทุนว่าจะกำไรเท่าไร

4.2.7.1. ถ้าคุณเป็นช่างที่ไม่มีความรู้ คุณจะวัดความสำเร็จจากการที่ตึกสร้างเสร็จแล้วไม่พัง

4.2.7.2. ถ้าคุณเป็นสถาปนิกชั้นเซียน คุณจะรู้ตั้งแต่ก่อนลงอิฐก้อนแรกว่า "ไม่พังแน่นอน"

4.2.8. ถ้าหาการลงทุนที่ดีไม่ได้ จะเก็บเงินไว้เฉยๆ

4.2.8.1. การลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ คือความเสี่ยงที่เราประเมินไม่ได้ นักลงทุนระดับโลกจะหลีกเลี่ยง

4.3. เอาอารมณ์ออกจากการตัดสินใจ

4.3.1. บัฟเฟตต์

4.3.1.1. ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า ตลาดหุ้นจะขึ้นจะลงก็ช่างหัวมัน

4.3.1.2. ถ้าพื้นฐานธุรกิจเปลี่ยน จนมูลค่าต่ำกว่าราคา จะขายหุ้นทิ้งแม้ขาดทุน

4.3.1.3. บัฟเฟตต์มองแต่ตัวธุรกิจ จึงไม่มัวดูราคาหุ้น เขาไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าตลาดหุ้นปิดไป 10 ปี

4.3.2. โซรอส

4.3.2.1. ถ้าการลงทุนมีโอกาสเสียมากกว่าได้ จะ "ออก" ทันที ไม่ว่าราคานั้นจะขาดทุนหรือกำไร

4.4. มีจุดยืนของตัวเอง ไม่โลเลไปตามฝูงชน

4.4.1. นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบอ่านคำแนะนำจากหลายๆ แหล่งแล้วเอามายำรวมกัน ซึ่งทำให้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ

4.4.1.1. เพราะพวกเขาขาด "หลักการ" ของตัวเอง ซึ่งเป็นตัวยึดเหนี่ยวในการตัดสินใจ

4.4.2. นักลงทุนระดับโลกจะมี "ทฤษฎีในใจ" ว่าโลกนี้เป็นยังไง ตลาดหุ้นเป็นยังไง และกลยุทธ์อะไรจะกำไรได้บ้าง

4.4.2.1. ทฤษฎีในใจของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เพราะมันจะขึ้นอยู่กับวิธีมองโลก นิสัย ความชอบ ความถนัด และพื้นเพของคุณ

4.4.3. บัฟเฟตต์ชอบธุรกิจกับตัวเลข เขาเลยลงทุนโดยเน้นวิเคราะห์มูลค่าธุรกิจเป็นหลัก

4.4.3.1. บัฟเฟตต์มี "ทฤษฎีในใจ" ว่าธุรกิจแบบไหนเรียกว่าดี และยึดถือแนวทางนั้นมาตลอด

4.4.3.2. บัฟเฟตต์มองตลาดหุ้นเป็น "คนบ้า" ที่ซื้อขายหุ้นตัวเดิมในราคาเปลี่ยนไปทุกวัน เขาจึงซื้อในวันที่แพงถูก และขายในวันที่ราคาแพง

4.4.4. โซรอสชอบปรัชญา เขาชอบคิดทำนายว่าตลาดหุ้น ตลาดเงิน จะไปในทิศทางไหน จึงลงทุนแนวเก็งกำไร

4.4.4.1. โซรอสมี "ทฤษฎีในใจ" ว่าตลาดจะไปทิศไหน และใช้ทฤษฎีนี้ช่วยเก็งกำไร

4.4.5. นักลงทุนระดับโลก 2 คนมองตลาดหุ้นเดียวกัน อาจคิดไม่เหมือนกัน ทำไม่เหมือนกัน แต่กำไรทั้งคู่ก็ได้

4.4.6. บัฟเฟตต์ไม่สนว่าตลาดหุ้นจะเป็นไง เขาแค่รอให้ราคาหุ้นน่าซื้อก็ค่อยซื้อ นอกนั้นตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงก็ไม่เกี่ยวกับเขา

4.4.6.1. "ตลาดหุ้นนั้นโง่เขลา ผมไม่สนใจว่ามันจะเป็นยังไง ผมแค่รอซื้อหุ้นในราคาถูกจากตลาดหุ้น"

4.4.7. โซรอสมองตลาดหุ้นเดียวกับบัฟเฟตต์ แต่เขาจะนำข้อมูลเศรษฐกิจ จิตวิทยา และการตัดสินใจของรัฐบาล เข้ามาทำนายตลาด

4.4.7.1. "ตลาดหุ้นนั้นโง่เขลา ผมชอบคาดเดาทิศทางของมัน ถ้าเดาถูกผมก็กำไร"

4.4.8. นักลงทุนระดับโลกมีสไตล์ของตัวเอง และลงทุนในสไตล์นั้นเสมอ จึงประสบความสำเร็จ

4.4.9. ถ้าหุ้นตก บัฟเฟตต์จะซื้อเพิ่ม เพราะเท่ากับว่าเขาซื้อธุรกิจเดิมในราคาถูกลง

4.4.10. ถ้าหุ้นตก โซรอสจะขาย เพราะมันแปลว่าเขาคาดการณ์ผิด เขาจะ "ออก" เพื่อคิดหาแผนใหม่

4.5. วางแผนขายตั้งแต่ตอนซื้อ

4.5.1. บัฟเฟตต์

4.5.1.1. ซื้อหุ้นดีแล้วไม่มีวันขาย ยกเว้นธุรกิจเปลี่ยนจากดีเป็นไม่ดี เกิดฟองสบู่ หรือต้องการเงินไปซื้อหุ้นอื่น

4.5.2. โซรอส

4.5.2.1. มีภาพในใจว่าตลาดจะขึ้นหรือลงเพราะอะไร ถ้าผลออกมาไม่ตรงกับที่คิด จะขายทันทีเพื่อวางแผนใหม่

4.5.3. กลยุทธ์การขายขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การซื้อ

4.5.4. เมื่อคุณคิดถึงตอนขายตั้งแต่ซื้อ คุณจะถูกบังคับให้คิดถึงความเสี่ยงและผลตอบแทน

5. ความแตกต่างที่ชัดเจน

5.1. บัฟเฟตต์และโซรอส ต่างเป็นนักลงทุนเอกของโลก แต่ทั้งคู่มีสไตล์และแนวคิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

5.2. บัฟเฟตต์เน้นซื้อหุ้น โซรอสเล่นเก็งกำไรตลาดเงิน

5.3. โซรอสลงทุนโดยดูภาพเศรษฐกิจ ภาพการเงิน แต่บัฟเฟตต์ไม่สนใจ เศรษฐกิจจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอให้บริษัทดีก็พอ

5.4. โซรอสวิเคราะห์ข้อมูลโดยคุยกับบิ๊กๆ ของประเทศ บัฟเฟตต์คุยกับผู้บริหารบริษัท

5.5. โซรอสมีวิธีคิดที่ลึกลับซับซ้อน บัฟเฟตต์มีวิธีคิดที่เข้าใจง่าย และมีอารมณ์ขันแบบปู่ใจดี

5.6. บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นแล้วถือยาวหลายปี โซรอสซื้อขายเร็ว เล่นแบบเก็งกำไร

5.7. ถึงบัฟเฟตต์และโซรอสจะต่างกันคนละขั้ว ทั้งคู่ก็ยังมีวิธีคิดบางอย่างตรงกัน เป็นที่น่าประหลาดใจของคนที่ได้ยิน

5.8. ที่น่าตกใจคือ ผู้เขียนพบว่านักลงทุนเก่งๆ แทบทุกคนทั่วโลกกลับมีวิธีคิดเดียวกัน! และเราเรียนรู้จากพวกเขาได้

5.8.1. วิธีคิดพวกนี้ใช้ได้กับทุกสไตล์การลงทุน ไม่ว่าคุณจะเล่นหุ้น เก็งกำไรตลาดเงิน เทรดหุ้นแบบเทคนิค บิทคอยน์ ลงทุนอสังหา หรือทำธุรกิจ

6. ความเชื่อผิดๆ ของคนส่วนใหญ่

6.1. ฉันทำนายไม่ได้ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง เพราะฉันไม่เก่งพอ แต่คนเก่งๆ จะรู้แน่นอนว่าตลาดจะขึ้นหรือลง

6.1.1. นักลงทุนระดับโลกยังเดากันไม่ถูกเลย ดังนั้นโค้ชหุ้นที่เก็บค่าสมาชิกเดือนละ 699.97 บาท จะรู้ดีกว่าจอร์จ โซรอส ที่ประสบความสำเร็จมา 60 ปีเลยเหรอ?

6.1.2. มันมีวิธีทำนาย 2 แบบ แค่ทำนายว่าขึ้น ไม่ก็ลง ทุกๆ เดือนจะมีคนทำนายทั้ง 2 ทางนั่นแหละ แล้วบางคนก็ทายถูกและโด่งดังขึ้นมา

6.1.3. คนที่ทำนายวิกฤติเศรษฐกิจถูกครั้งแรก มักทายครั้งต่อๆ ไปไม่ถูก เพราะไม่มีใครทำนายตลาดได้จริง (แล้วครั้งต่อไป ก็จะมีคนอื่นฟลุ๊คทำนายถูก ซึ่งโด่งดังขึ้นมา)

6.1.3.1. ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ John Paulson ทำนายวิกฤติ 2008 ถูก กลายเป็นคนดังในโลกการลงทุน แต่หลังจากนั้นเขาพยายามทำนายวิกฤติอีกหลายครั้ง และพลาดมา 12 ปีแล้ว

6.1.3.2. ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ David Einhorn ทำนายวิกฤติ 2008 ถูก กลายเป็นคนดัง แต่หลังจากนั้นเขาก็ขาดทุนต่อเนื่องหลายปี

6.1.4. การลงทุนบางสไตล์ ใช้วิธีคาดเดาทิศทางตลาด แต่ก็อยู่บนแนวคิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องเดาถูกทุกครั้ง เดา 100 ครั้ง ถูกแค่ 55 ครั้งก็พอ

6.1.4.1. การลงทุนแนวนี้ จะคาดเดาถูกบ้างผิดบ้าง จึงมีการขาดทุนอยู่เสมอ แต่โดยรวมจะพยายามให้กำไรมากกว่าขาดทุน

6.2. ตลาดหุ้นมี "เจ้ามือ" ซึ่งคอยคุมราคาหุ้น ดังนั้นเราต้องหาข่าววงใน ไม่งั้นจะสู้คนอื่นไม่ได้

6.2.1. วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก เขาแค่อ่านรายงานประจำปี ซึ่งแจกฟรี

6.2.2. ปกติข้อมูลวงในของจริง จะรู้กันเฉพาะคนวงในไม่กี่คน แต่ถ้ารู้มาถึงคุณ แสดงว่ามันไม่ได้วงในจริงๆ อาจมีคนปล่อยข่าวเพื่อดันราคาหุ้น

6.2.3. "ขอแค่คุณมีข้อมูลวงในและเงินสักล้าน ลงทุนปีเดียวก็หมดตัว" - วอร์เรน บัฟเฟตต์

6.3. จงกระจายความเสี่ยง

6.3.1. นักวิชาการสอนว่ายิ่งกระจายความเสี่ยงเยอะ ยิ่งดี (30-50 ตัว) ซึ่งขัดกับนักลงทุนระดับโลก

6.3.1.1. นักวิชาการมักซื้อหุ้นโดยไม่ได้วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง จึงใช้วิธีซื้อหุ้นเยอะๆ และกระจายความเสี่ยงแทน

6.3.1.2. คนที่ไม่มั่นใจการวิเคราะห์หุ้น/การลงทุนของตัวเอง สามารถกระจายความเสี่ยง เพื่อให้ปลอดภัยขึ้น

6.3.1.3. ข้อดีคือขาดทุนยาก แต่ผลตอบแทนจะกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำ

6.3.2. ถ้าคุณอยากได้กำไรก้อนใหญ่ คุณควรกระจายความเสี่ยงไม่มาก ยิ่งคุณกระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนจะยิ่งกลายเป็นกลางๆ

6.3.2.1. ถ้าคุณถือหุ้นสัก 30 ตัว ต่อให้มีตัวหนึ่งกำไร 100% โดยรวมคุณก็ได้แค่ 3% ของทั้งหมด

6.3.2.2. อย่างน้อยควรมีสัก 3-4 ตัว แต่ไม่จำเป็นต้องมากกว่านั้น "ถ้าคุณมั่นใจ"

6.3.3. ถ้านักวิชาการแนะนำให้บิล เกตส์ กระจายความเสี่ยงตอนเริ่มทำธุรกิจ...

6.3.3.1. คุณเกตส์ คุณกำลังทำผิดพลาดในการทุ่มเทเวลา ทั้งหมดมาสร้างระบบวินโดวส์ คุณกำลังเอาไข่ทั้งหมดมาใส่ตะกร้าใบเดียว

6.3.3.2. แทนที่จะมัวทำวินโดว์อย่างเดียว คุณควรขยายไปผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ และลงทุนเปิดร้านอาหารกับอู่รถยนต์ เพื่อกระจายความเสี่ยงไปในหลากหลายอุตสาหกรรม

6.3.3.3. การกระจายความเสี่ยงคือหนทางสู่ความมั่งคั่ง มันจะทำให้คุณไม่สูญเงินทั้งหมดไปกับธุรกิจที่ผิดพลาด เงินของคุณจะงอกเงยอย่างมั่นคง

6.3.4. ถ้าคุณอยากได้กำไร 100% อะไรง่ายกว่าระหว่าง...

6.3.4.1. หาหุ้น 5 ตัวที่ราคาจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว

6.3.4.2. หาหุ้น 100 ตัวที่ราคาจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว

6.3.5. ถ้าคุณไม่อยากขาดทุน อะไรง่ายกว่าระหว่าง...

6.3.5.1. หาหุ้น 5 ตัวที่จะไม่ขาดทุน

6.3.5.2. หาหุ้น 100 ตัวที่จะไม่ขาดทุน

6.4. High Risk, High Return (ผลตอบแทนมาพร้อมความเสี่ยง)

6.4.1. นักลงทุนระดับโลกกลัวความเสี่ยงที่สุด ก่อนลงทุนพวกเขาจะคิดแล้วคิดอีก จึงตัดสินใจ

6.4.2. นักวิชาการเห็นตรงกันว่า "ผลตอบแทนสูง ย่อมต้องเสี่ยงสูง" ถ้าอยากรวยเราย่อมต้องยอมเสี่ยงมากขึ้น

6.4.2.1. พวกเขาจึงเป็นนักวิชาการ

6.4.3. นักลงทุนระดับโลกรู้ว่าผลตอบแทนกับความเสี่ยง ไม่ได้มาด้วยกันเสมอไป พวกเขาจะเลือกลงทุนสิ่งที่เสี่ยงน้อย และโอกาสกำไรสูง

6.4.3.1. โอกาสดีๆ เหล่านี้หายาก แต่คนที่หาเจอ ย่อมรวยขึ้นอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

6.4.3.2. พวกเขาจึงเป็นนักลงทุนระดับโลก

6.5. เราสามารถไปสมัครสมาชิก "ระบบ" เทรดหุ้นในเน็ต ที่จะบอกให้คุณซื้อขายหุ้นตาม แล้วคุณจะกำไรได้ง่ายๆ

6.5.1. มักมีคนขาย "ระบบซื้อขายแบบ Technical" หรือ "ระบบคัดกรองหุ้นแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์" หรือ "ระบบให้หุ่นยนต์ AI ซื้อขายแทนคุณ"

6.5.1.1. ซื้อทันทีในราคาเพียง 5,499 บาท (ลดจาก 17,000)

6.5.1.2. คนขายระบบหลายคน ไม่กล้าใช้ระบบที่ตัวเองขาย

6.5.2. มือใหม่หลายคนเชื่อ และยอมจ่ายเงินซื้อ ทำให้พวกเขาขาดทุนและเลิกลงทุนไปอย่างรวดเร็ว

6.5.3. ในความเป็นจริง การลงทุนไม่มีสูตรสำเร็จ ต่อให้คุณค้นพบสูตรได้จริง มันก็เป็นสูตรที่ใช้ได้ชั่วคราว และคุณก็ต้องคอยปรับสูตรเรื่อยๆ ไม่งั้นมันจะใช้ไม่ได้ในที่สุด

6.5.3.1. และต่อให้มันใช้ได้ใน 3 เดือนที่ผ่านมา ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเดือนนี้มันจะใช้ได้ คุณอาจขาดทุนไม่รู้ตัวถ้าใช้สูตรโดยไม่คิด

6.5.4. วิธีคิด "ต้องมีระบบ" มาจากความต้องการลึกๆ ว่า "อยากกำไรง่าย เร็ว และชัวร์" คนอยากได้สูตรที่ใช้ได้เลย แล้วก็ลงเงิน พรุ่งนี้รวย

6.5.4.1. ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เศรษฐี top 100 ของโลกคงเป็น "คนมีระบบ" ไปหมดแล้ว

7. ปรับกลยุทธ์การลงทุนเข้ากับตัวคุณ

7.1. รู้เป้าหมายทางการเงินของตัวเอง

7.1.1. บางคนอยากรวยเหมือนบัฟเฟตต์ บางคนแค่อยากลงทุนให้พอใช้หลังเกษียณ

7.1.2. คุณต้องรู้ก่อนว่าตัวเองลงทุนไปทำไม รับความเสี่ยงได้แค่ไหน เป้าหมายใหญ่หรือเล็ก

7.1.2.1. อยากมีเงินใช้หลังเกษียณ

7.1.2.2. ได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากธนาคารก็พอใจ

7.1.2.3. อยากรวย แต่ไม่ต้องมีถึงแสนล้านก็ได้

7.1.2.4. อยากรวยระดับตำนาน

7.1.2.5. อยากออมเงินให้ลูกมีอนาคตที่สดใส

7.1.2.6. หาค่ากับข้าว

7.1.2.7. อยากมีอิสรภาพทางการเงิน

7.2. เลือกสไตล์ที่คุณถนัด แล้วอย่าออกนอกความถนัดนั้น

7.2.1. การลงทุนทุกสไตล์มีโอกาสทำกำไรหมด อยู่ที่ว่าคุณถนัดด้านไหนหรือไม่

7.2.2. คุณแค่ต้องมีสไตล์ที่ถนัดสัก 1 สไตล์ แล้วก็ลงทุนตามสไตล์นั้น

7.2.3. คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีแนวทางของตัวเอง ซึ่งสร้างจากนิสัย ประสบการณ์ และพื้นเพของเขา คุณทำแบบเขาก็อาจไม่ประสบความสำเร็จตาม

7.2.4. คุณชอบลงทุนในไหน การลงทุนไหน "ถูกชะตา" คุณ?

7.2.4.1. หุ้นโตเร็ว

7.2.4.2. หุ้นปันผล

7.2.4.3. หุ้นต่างประเทศ

7.2.4.4. ทองคำ

7.2.4.5. พันธบัตร

7.2.4.6. อสังหาริมทรัพย์

7.2.4.7. การเก็งกำไรในตราสารอนุพันธ์

7.2.5. เข้าใจตัวเอง ว่าเป็นคนแบบไหน

7.2.5.1. นักวิเคราะห์

7.2.5.1.1. เลือกหุ้นที่ดี ซื้อแล้วนั่งทับไว้เฉยๆ ปล่อยให้ราคาขึ้นไปเรื่อยๆ

7.2.5.2. เทรดเดอร์

7.2.5.2.1. อ่านตลาด เข้าใจจิตวิทยานักลงทุน ซื้อขายระยะสั้นเพื่อกำไรอย่างรวดเร็ว

7.2.5.3. นักประกันภัย

7.2.5.3.1. กระจายความเสี่ยงโดยแบ่งเงินไปซื้อหุ้น พันธบัตร และทองคำ

7.2.5.3.2. เงินส่วนที่ซื้อหุ้น จะแบ่งซื้อ 30-50 ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยง

7.2.5.3.3. ยอมได้ผลตอบแทนน้อย เพื่อลงทุนอย่างปลอดภัย

7.2.6. คุณ "เชื่อ" ว่าอะไรทำให้หุ้น ทอง หรือการลงทุนต่างๆ ราคาขึ้นลง?

7.2.6.1. ซื้อหุ้นที่ดี กำไรเติบโต แล้วราคาจะขึ้นไปเอง

7.2.6.1.1. ศึกษาการลงทุนแบบ VI

7.2.6.2. เราสามารถเอาราคาในอดีตมาวาดกราฟ แล้วบอกได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง

7.2.6.2.1. ศึกษาวิธีอ่านกราฟที่เรียกว่า Technical

7.2.6.3. คนเรายังไงก็ต้องการที่อยู่อาศัย ซื้ออสังหาแล้วยังไงราคาก็ขึ้นไปเรื่อยๆ

7.2.6.3.1. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

7.2.6.4. เขียนโปรแกรมให้หุ่นยนต์ AI ซื้อขายแทนคุณได้ โดยหุ่นยนต์เก่งเหนือมนุษย์ เราจึงกำไรเสมอ

7.2.6.4.1. ศึกษา Robo Trading

7.2.6.5. มีเจ้ามือคุมราคาอยู่ เราต้องซื้อขายตามเจ้ามือ

7.2.6.5.1. ถ้าคุณเชื่อแบบนี้จริงๆ ก็ต้องหาให้เจอว่าใครเป็นเจ้ามือ และไปทำความรู้จักกับเขา!

7.2.6.6. บัฟเฟตต์

7.2.6.6.1. ซื้อหุ้นที่กำไรเติบโตเร็วสม่ำเสมอ ในราคาที่ไม่แพงเกินไป

7.2.6.6.2. ตอนหนุ่มๆ เรียนกับอาจารย์ชื่อ Benjamin Graham แต่ภายหลังได้ต่อยอดเป็นวิธีคิดของตัวเอง

7.2.6.7. Benjamin Graham

7.2.6.7.1. ซื้อหุ้นที่ราคาถูกเทียบกับมูลค่าปัจจุบัน

7.2.6.8. โซรอส

7.2.6.8.1. คาดเดาเศรษฐกิจและจิตวิทยานักลงทุน เพื่อซื้อขายทำกำไร

7.2.6.9. คุณอาจเรียนรู้จากเซียนหลายคน เพื่อนำมาสร้างสไตล์ของคุณเอง โดยปรับแต่งตามนิสัย ความชอบ ความสนใจของคุณ

7.3. มีแผนขายหุ้น/การลงทุนตั้งแต่ตอนซื้อ (ดูตัวอย่าง 6 แผน)

7.3.1. คุณมีเหตุผลว่าหุ้นนั้นทำธุรกิจที่ดี แต่เหตุผลนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว

7.3.1.1. พื้นฐานธุรกิจอาจเปลี่ยน หุ้นไม่ดีเหมือนเดิม

7.3.2. เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

7.3.3. ตอนซื้อมีราคาเป้าหมายในใจ และราคาหุ้นไปถึงราคานั้นแล้ว

7.3.4. คุณดูกราฟแล้วเห็นสัญญาณขาย

7.3.4.1. สำหรับนักลงทุนแนว Technical ซึ่งเอาราคาหุ้นมาวาดกราฟ หรือคำนวณหาตัวเลขสัญญาณซื้อ-ขายต่างๆ

7.3.5. คุณเป็นเทรดเดอร์ แล้วตั้ง stop loss ไว้

7.3.5.1. เทรดเดอร์จะไม่ลงทุนโดยมองหุ้นเหมือนธุรกิจ แต่มองหุ้นเป็นกระดาษที่ซื้อขายเพื่อหากำไรระยะสั้น

7.3.5.2. ถ้าเทรดเดอร์ซื้อหุ้นแล้วราคาตก เขาควรขายทิ้ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่มันจะลงต่อ (stop loss)

7.3.6. เมื่อคุณรู้ตัวว่าลงทุนผิดพลาด

7.4. ควบคุมความเสี่ยง

7.4.1. ถ้าคุณชอบซื้อหุ้นแล้วถือยาวๆ

7.4.1.1. ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ามากๆ เพื่อป้องกันตลาดหุ้นตก

7.4.1.1.1. ต่อให้ตลาดตก เราก็รู้ว่าหุ้นของเราดี ถือต่อเดี๋ยวราคาก็กลับมา

7.4.1.2. ถ้าพื้นฐานธุรกิจเปลี่ยน จนมูลค่าต่ำกว่าราคา จงขายหุ้นทิ้งแม้ขาดทุน

7.4.1.2.1. ไม่งั้นมันจะลงไปเรื่อยๆ

7.4.2. ถ้าคุณชอบเก็งกำไร เข้าเร็วออกเร็ว

7.4.2.1. อย่าลงเงินทั้งหมดกับการลงทุนเดียว (อย่าขายบ้านมาซื้อ)

7.4.2.2. ถ้าเราเดิมพันผิดทาง ต้องกล้าขายขาดทุน เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนหนักจนฟื้นตัวไม่ไหว

7.5. เชื่อมั่นว่าคุณคือคนพิเศษ

7.5.1. ความเชื่อทำให้คุณมั่นใจ ความมั่นใจทำให้คุณหมั่นศึกษาหาความรู้ เพื่อไปถึงเป้าหมาย

7.5.2. ความมั่นใจทำให้เรามองเห็นโอกาส แทนที่จะเป็นความล้มเหลว และกล้าลงมือทำ

7.5.3. ถ้าคุณไม่เชื่อว่าคุณจะประสบความสำเร็จ ต่อให้คุณหาเงินได้ คุณก็จะเสียมันไป

7.6. ตัดใจขายขาดทุนถ้าลงทุนผิดพลาด

7.6.1. ถ้าตอนแรกคุณซื้อหุ้นเพราะราคาต่ำกว่ามูลค่า แต่มารู้ทีหลังว่าคุณคิดผิด ก็ต้องขายแม้จะขาดทุน

7.6.2. ขาดทุน 10% ดีกว่าขาดทุน 50%

7.6.3. ไม่มีนักลงทุนคนไหนที่ลงทุนไม่ผิดพลาดเลย วอร์เรน บัฟเฟตต์ และจอร์จ โซรอส ก็เคยพลาดหลายครั้ง

7.6.3.1. แต่พวกเขายอมรับว่าพลาด และแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะบานปลาย

7.7. กลยุทธ์ 12 ข้อที่คุณต้องคิดก่อนลงทุน

7.7.1. ซื้ออะไร?

7.7.2. ซื้อเมื่อไร?

7.7.3. ขายเมื่อไร?

7.7.4. ซื้อราคาไหน?

7.7.5. ซื้อเงินสดหรือเงินกู้?

7.7.6. ซื้อเยอะเป็นกี่ % ของเงินทั้งหมด?

7.7.6.1. นักลงทุนระดับโลกชอบซื้อเยอะๆ หนักๆ เพื่อผลตอบแทนที่สูงสุด แต่คุณอาจซื้อน้อยถ้าไม่มั่นใจ

7.7.7. คอยตรวจเช็คการลงทุนบ่อยแค่ไหน?

7.7.8. จะแบ่งเงินทั้งหมดยังไง?

7.7.9. มีกลยุทธ์หาไอเดียซื้ออย่างไร?

7.7.10. ถ้าลงทุนผิดพลาด จะแก้ยังไง?

7.7.11. ถ้ากลยุทธ์ใช้ไม่ได้ผล จะทำไงต่อ?

7.7.11.1. นักลงทุนระดับโลกจะหยุดลงทุน แล้วคิดทบทวน