พัฒนาการและภูมิคุ้มกันโรค

Lancez-Vous. C'est gratuit
ou s'inscrire avec votre adresse e-mail
พัฒนาการและภูมิคุ้มกันโรค par Mind Map: พัฒนาการและภูมิคุ้มกันโรค

1. วิธีการให้วัคซีน

1.1. การกิน (oral route) ใช้ในกรณีที่ต้องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะที่เช่นต้องการให้เกิดภูมิคุ้มกันในลำไส้โดยมากใช้กับวัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิตเช่นวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอวัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์ชนิดกิน

1.2. การฉีดเข้าในหนัง (intradermal ) วิธีนี้มักจะใช้เมื่อต้องการลดจำนวนantigenให้น้อยลงการฉีดเข้าในหนังทำให้ antigen เข้าไปทางท่อน้ำเหลืองได้ดีสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิดเซลล์เป็นสื่อได้ดี

1.3. การฉีดเข้าใต้หนัง (Subcutaneous route มักจะใช้กับวัคซีนที่ไม่ต้องการให้ดูดซึมเร็วเกินไปเพราะอาจเกิดปฏิกิริยารุนแรงเช่นวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูมหัดเยอรมันไขทัยฟอยด์วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบUE

1.4. การฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (intramuscular route) ใช้เมื่อต้องการให้การดูดซึมดีการฉีดเข้ากล้ามเนื้อจะให้ได้ผลดีควรฉีดบริเวณต้นแขน (deltoid) เพราะการดูดซึมดีที่สุดไขมันไม่มากเลือดมาเลี้ยงดี

1.4.1. ปัจจุบันไม่แนะนำให้ฉีดบริเวณสะโพกเพราะอาจเกิดอันตรายต่อเส้นประสาทไซเอติค

2. หลักการทั่วไปในการให้วัคซีน

2.1. ๑

2.1.1. วัคซีนหลายชนิดอาจให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้โดยทั่วไปวัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตสามารถให้พร้อมกันได้แต่ควรให้ต่างตำแหน่ง

2.1.2. วัคซีนที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาในเวลาเดียวกันไม่ควรให้พร้อมกันเพราะทำให้ปฏิกิริยามากขึ้นเช่นวัคซีนดีที่พี่กับวัคซีนป้องกันโรคไข้ทัยฟอยด์

2.1.3. วัคซีนไวรัสชนิดเชื้อมีชีวิตนั้นสามารถให้พร้อมกันในวันเดียวกันได้ถ้าไม่ได้ให้พร้อมกันจะต้องเว้นห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน

2.1.4. วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตสามารถให้ห่างจากวัคซีนชนิดอื่นที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตกี่วันก็ได้

2.2. ๒

2.2.1. การให้วัคซีนห่างเกินกว่ากำหนดไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันเกิดน้อยลง

2.2.2. การฉีดวัคซีนที่เร็วกว่ากำหนดอาจทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นได้น้อยลงหรืออยู่ไม่นานตามกำหนด

2.2.3. เด็กที่ไม่ได้มาฉีดวัคซีนตามนัดคือเลยกว่ากำหนดสามารถฉีดเข็มต่อไปได้เลยโดยไม่ต้องตั้งต้นใหม่

2.3. ๓

2.3.1. ผู้ที่เจ็บป่วยเล็กน้อยเช่นหวัดไอหรือไข้ต่ำ ๆ สามารถให้วัคซีนได้เด็กที่กำลังมีไข้สูงควรเลื่อนกำหนดการฉีดวัคซีนออกไปจนกว่าใข้จะหายแล้ว

2.4. ๔

2.4.1. ผู้ที่ได้รับอิมมูโนโกลบูลินพลาสม่าหรือเลือดมาไม่ถึง ๓ เดือนไม่ควรให้วัคซีนไวรัสที่มีชีวิตเช่นวัคซีน MMRการได้รับเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือดผู้รับจะมี Antibody เพิ่มมากขึ้น Antibody ที่เพิ่มมากขึ้นนี้จะไปทำลายวัคซีนเชื้อมีชีวิตให้ตายหมด

2.5. ๕

2.5.1. เด็กที่เคยได้วัคซีนดีทีพีแล้วมีไข้สูง (เกิน ๔๐. ๕ องศาเซลเซียส) ภายใน ๔๘ ชั่วโมงหลังฉีดวัคซีนมีอาการชักโดยมีไข้หรือชักไม่มีใช้ก็ตามภายใน ๓ วันกรีดร้องนานเกินว่า ๓ ชั่วโมงภายใน ๔๘ ชั่วโมงครั้งต่อไปไม่ควรให้วัคซีนรวม DTWP ควรให้เฉพาะวัคซีนรวมป้องกันเฉพาะโรคคอตีบและบาดทะยัก (DT) เท่านั้น

2.6. ๖

2.6.1. เด็กที่เคยแพ้ไข่คือมีอาการปากบวมลมพิษขึ้นหายใจไม่ออกหอบช็อคภายหลังกินไข่ไม่ควรให้วัคซีนรวม MMR ชนิดที่มาจากเซลล์เพาะเชื้อจากไข่เพราะมีโอกาสแพ้ได้

2.7. ๗

2.7.1. ทารกที่คลอดก่อนกำหนดควรให้วัคซีนเหมือนเด็กที่เกิดครบกำหนด

2.7.2. เด็กยังอยู่ใน nursery ไม่ควรให้ OPV ในหน่วยทารกแรกเกิดเพราะจะทำให้เชื้อติดต่อไปยังเด็กคนอื่นได้

2.8. ๘

2.8.1. เด็กที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติเช่นที่ได้รับยากดภูมิต้านทาน (steroid) ยารักษาโรคมะเร็งต้องงดการให้วัคซีนเชื้อมีชีวิตเนื่องจากวัคซีนเชื้อเป็นจะเข้าไปแบ่งตัวเพิ่มจำนวนทำให้ผู้รับวัคซีนเกิดการติดเชื้อ

2.9. ๙

2.9.1. เด็กที่ได้ยากดภูมิคุ้มกันสามารถให้ท็อกซอยด์และวัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิตได้ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นน้อยกว่าคนปกติแต่ก็เกิดขึ้นเพียงพอที่จะป้องกันโรค

2.9.2. ส่วนวัคซีนที่ทำจากไวรัสที่มีชีวิตไม่ควรให้จนกว่าได้หยุดยาที่กดภูมิคุ้มกันไปแล้วอย่างน้อย๓เดือน

2.10. ๑๐

2.10.1. เด็กที่ได้วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบบาดทะยักไอกรนแล้วเกิดอาการชักภายในวันหรือมีอาการทางสมอง (encephalopathy) ภายใน ๗ วันไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell DTwP) ในครั้งต่อไป

2.11. ๑๑

2.11.1. เด็กที่มีโรคทางระบบประสาทซึ่งยังควบคุมไม่ได้เช่นโรคลมชักที่ยุงคุมไม่ได้, infantile spasm, progressive encephalopathy ไม่ควรให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิด whole cell

2.11.2. โรคชักที่ควบคุมได้แล้ว, Cerebral palsy, hydrocephalus ที่ได้รับการผ่าตัดแก้ไขแล้วหรือเป็นเด็กที่เจริญเติบโตช้าสามารถให้วัคซีนป้องกันโรคไอกรนได้

2.12. ๑๒

2.12.1. เด็กที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคชักสามารถให้วัคซีนได้

2.12.2. เด็กที่มีประวัติชักเวลาไข้สูงเราก็สามารถให้วัคซีนได้ถ้าให้วัคซีนป้องกันโรคหัดอาจต้องพิจารณาให้ยาลดไข้ตั้งแต่วันที่ ๕ หลังฉีดยาแล้วและให้ต่อไปอีกประมาณ ๕-๗ วัน

2.12.3. วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบบาดทะยักไอกรนควรให้ยาแก้ไข้พาราเซตามอลขนาด ๑๕ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมทุก ๔ ชั่วโมงหลังจากฉีดยาเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมง

2.13. ๑๓

2.13.1. การฉีดวัคซีนที่มี adjuvant ควรให้เข้ากล้ามเนื้อเท่านั้นการให้เข้าใต้ผิวหนังหรือในหนังอาจทำให้เกิดการระคายเคืองเฉพาะที่อักเสบเป็นก้อนหรือทำให้เนื้อตายบริเวณที่ฉีดได้

2.14. ๑๔

2.14.1. ตำแหน่งของการฉีดวัคซีนควรฉีดในตำแหน่งที่ทำให้เกิดอันตรายน้อยที่สุดต่อหลอดเลือดเส้นประสาทและเนื้อเยื่อการฉีดเข้าใต้หนังหรือเข้ากล้ามเนื้อในเด็กเล็กนิยมให้บริเวณต้นแขนส่วนบน (deltoid)

2.15. ๑๕

2.15.1. เด็กที่ติดเชื้อ HIV หรือเชื้อโรคเอดส์ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตามสามารถให้วัคซีนทุกชนิดได้เหมือนเด็กปกติ

2.15.2. วัดซีนBCGซึ่งให้เฉพาะเด็กที่ติดเชื้อเอ็ชไอวีแต่ยังไม่มีอาการของโรคเอดส์

2.15.3. วัคซีนรวมป้องกันโรคหัดคางทูมและหัดเยอรมันและวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกินสามารถให้ได้

2.16. ๑๖

2.16.1. เด็กที่ได้รับยากลุ่ม Steroid เช่น Prednisolone ขนาดตั้งแต่ ๒ mg / kg / day ต่อเนื่องเป็นเวลาเกิน ๒ สัปดาห์ต้องหยุดยา ๑เดือนจึงจะสามารถให้วัคซีนเชื้อมีชีวิต

2.16.2. เด็กที่ได้รับยาsteroidไม่เกิน ๒ สัปดาห์สามารถให้วัคซีนเชื้อมีชีวิตได้เลยหลังจากหยุดยา

2.16.3. เด็กที่ได้รับยาโดยการทาหรือฉีดเฉพาะที่หรือได้รับยาในขนาดต่ำสามารถให้วัคซีนได้

2.16.4. เด็กที่ได้รับยาเคมีบำบัดต้องรอให้หยุดยาเคมีบำบัดไปแล้ว ๓-๖ เดือน

2.17. ๑๗

2.17.1. ผู้ป่วยที่ได้รับยาsteroidชนิดทาหรือฉีดเฉพาะที่และผู้ป่วยที่ได้ยาsteroidขนาดต่ำสามารถให้วัคซีนได้

2.17.2. ได้ยาsteroidขนาดสูง (> ๒ มก. / กก. / วัน) ไม่ควรให้วัคซีนเชื้อเป็นจนกว่าจะหยุตยาไปแล้วหนึ่งเดือนแต่ถ้าได้รับยามาน้อยกว่า ๒ สัปดาห์สามารถให้วัคซีนได้

2.18. ๑๘

2.18.1. ทารกที่คลอดก่อนกำหนดควรได้รับวัคซีนตามอายุหลังคลอดเช่นเดียวกับเด็กปกติ

2.18.1.1. ยกเว้นการให้วัคซีนตับอักเสบบีในทารกที่น้ำหนักต่ำกว่า ๕, 000 กรัม

2.18.1.2. มารดาไม่ได้เป็นพาหะควรเลือนการฉีดเข็มแรกไปจนกว่าทารกจะมีน้ำหนักมากกว่า ๕000 กรัมหรืออายุ ๒ เดือน

2.18.2. ทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะตอบสนองต่อวัคซีนไม่ดีแต่ถ้ามารดาเป็นพาหะต้องพิจารณาให้วัคซีนตอนแรกเกิดเหมือนเด็กที่คลอดครบกำหนดเพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและต้องให้ Hepatitis B immune globulin (HBIG) ร่วมด้วย

3. การให้วัคซีนในเด็กทั่วไป

3.1. แรกเกิด

3.1.1. BCG HB1 ถ้ามารดา HBsAg HBeAg positive ต้องเพิ่ม HBIG

3.2. ๑เดือน

3.2.1. HB2

3.3. ๒เดือน

3.3.1. OPV1 DTWP-HB-Hib1 Rota1

3.3.1.1. Rota virus เป็นเชื้อเป็น

3.4. ๔เดือน

3.4.1. IPV1 OPV2 DTwP. HB-HIb2 Rota2

3.5. ๖เดือน

3.5.1. OPV3 DTwP-HB3-Hib3 Rota 3

3.5.1.1. ส่วนใหญ่ Rota จะให้ไม่เกิน ๘ เดือน

3.6. ๙-๑๒เดือน

3.6.1. MMR1 LAJE1 (เชื้อเป็น)

3.7. ๑๘เดือน

3.7.1. OPV4 DTwP 4

3.8. ๒-๒ปีครึ่ง

3.8.1. LAJE2 (เชื่อเป็น) MMR2

3.9. ๔ปี

3.9.1. OPV5 DTwP5

3.10. ชั้นป.๕

3.10.1. HPV1 HPV2 วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV เข็ม 1 กับเข็ม 2 ห่างกันอย่างน้อย 6 เดือน

4. การให้วัคซีนกรณีเริ่มเมื่ออายุ๑-๖ปี

4.1. ครั้งที่๑ เมื่อพบเด็กครั้งแรก

4.1.1. DTP-HE OPV1 IPV1 MMR1 BCG

4.1.1.1. ข้อแนะนำ

4.1.1.1.1. ข้ BCG*๑. ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่มีแผลเป็น

4.1.1.1.2. ๒. จะไม่ให้ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการของโรคเอดส์ IPV๑* ให้เก็บตกเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ปีและเด็กนักเรียนชั้นป.๑

4.2. ครั้งที่๒ เดือนที่๑

4.2.1. DTP-HB2 OPV2 LAJE1

4.3. ครั้งที่๓ เดือนที่๒

4.3.1. MMR2

4.4. ครั้งที่๔ เดือนที่๔

4.4.1. DTP-HB3 OFV3

4.5. ครั้งที่๕ เดือนที่๑๒

4.5.1. DTP4 OPV4 LAJE2

5. การสร้างภูมิคุ้มกันโรค

5.1. ทารกขณะอยู่ในครรภ์ได้รับภูมิคุ้มกันโรคโดยผ่านทางรกทำให้สามารถป้องกันโรคบางชนิดได้

5.2. หลังคลอดภูมิคุ้มกันโรคจะลดลงโดยเฉพาะภูมิคุ้มกันต่อโรคแบคทีเรียจะหมดไปประมาณ ๑-๒ เดือนหลังคลอดภูมิคุ้มกันโรคจากเชื้อไวรัสอยู่ได้นานกว่า 5 เดือนหลังคลอด

6. การสร้างภูมิคุ้มกันโรคในเด็ก

6.1. การสร้างภูมิคุ้มกันโรคทางตรง Active immunization เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเองโดยการให้ antigen หรือวัคซีนเข้าไปในร่างกายเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน (antibody) ขึ้นภายหลังภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นสามารถป้องกันโรคได้เป็นปีๆหรือบางชนิดอาจอยู่ใต้ตลอดไปเช่นหัดหัดเยอรมันคางทูมแต่บางชนิดก็อยู่ได้เพียงระยะหนึ่งเช่นไทฟอยด์อยู่ได้ ๓ ปี

6.2. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคทางอ้อมหรือด้วยการรับเอา Passive immunization เป็นการให้สารที่มีภูมิคุ้มกันโรคอยู่แล้ว Antibody) เข้าไปในร่างกายโดยตรงและมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคในทันทีแต่ภูมิคุ้มกันโรคประเภทนี้จะอยู่ในร่างกายได้ไม่นานประมาณ ๓-๔ สัปดาห์เท่านั้นก็จะหมดไป

7. การสร้างภูมิคุ้มกันโรคทางตรง Active immunization

7.1. ท็อกซอยด์ (toxoid) ใช้ป้องกันโรคที่เกิดขึ้นเป็นผลจากพิษหรือท็อกซินของแบคทีเรียไม่ได้เกิดจากตัวแบคทีเรียโดยตรงเช่นโรคคอตีบ/Diptheria หรือโรคบาดทะยัก / Tetanus

7.2. วัคซีนชนิดเชื้อไม่มีชีวิต (inactivated หรือ killed vaccine) เป็นวัคซีนที่ทำมาจากแบคทีเรียหรือไวรัสทั้งตัวที่ทำให้ตายแล้ว (whole cell Vaccine) ได้แก่ โรคไอกรน/Pertussis วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ/IE

7.3. วัคซีนชนิดเชื้อมีชีวิต (Live attenuated vaccine) เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ทำให้ฤทธิ์อ่อนลงแล้วส่วนใหญ่เป็นวัคซีนสำหรับไวรัสส่วนวัคซีนสำหรับแบคทีเรียที่ใช้แพร่หลาย ได้แก่ วัคซีนป้องกันวัณโรค (BCG) วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดกิน (OPV) วัคซีนรวมป้องกันโรคหัดคางทูมและหัดเยอรมัน (MMR) วัคซีนป้องกันโรคสุกใส (varicellar vaccine) วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ / JE ชนิดมีชีวิตและวัคซีน Rota Virus

7.3.1. วัคซีนในกลุ่มนี้เมื่อให้เข้าไปในร่างกายแล้วจะยังไม่มีปฏิกิริยาทันทีจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเริ่มมีปฏิกิริยาเช่นวัคซีนป้องกันโรคหัต (Measle) จะมีอาการไข้ประมาณวันที่ ๕ ถึงวันที่ ๑๒ หลังฉีด

8. การให้วัคซีนกรณีเริ่มเมื่ออายุ๗ปีขึ้นไป

8.1. ครั้งที่๑ เมื่อพบเด็กครั้งแรก

8.1.1. dT1 OPV1 IPV MMR / MR BCG*

8.1.1.1. BCG*

8.1.1.1.1. ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่มีแผลเป็น

8.1.1.1.2. จะไม่ให้ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการของโรคเอดส์

8.2. ครั้งที่๒ เดือนที่๑

8.2.1. HB1 LAJE1

8.3. ครั้งที่๓ เดือนที่๒

8.3.1. dT2 OPV2 HB2

8.4. ครั้งที่๔ เดือนที่๔

8.4.1. HB3

8.5. ครั้งที่๕ เดือนที่๑๒

8.5.1. dT3 OPV3 LAJE2

9. วัคซีนป้องกันวัณโรค(BCG)

9.1. ปฏิกิริยาหลังฉีด

9.1.1. เกิดตุ่มสีขาวซีด ต่อมาเป็นรอยแดงและกลสยเป็นฝีขนาดเล็ก โดยเริ่มเป็นหนอง๒-๔สัปดาห์โดยจะเป็นๆหายๆบริเวณที่เป็นหนองห้ามใส่ยาantibiotic ให้รักษาความสะอาดด้วยน้ำต้มสุก ห้ามแกะเกา

9.2. ข้อห้ามในการฉีด

9.2.1. มีแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลติดเชื้อที่ผิวหนัง ติดเชื้อHIVที่มีอาการ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง รับยากดภูมิ

10. วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน(DTP)

10.1. ปฏิกิริยาหลังฉีด

10.1.1. มีไข้ ปวด บวมแดง ร้อนในตำแหน่งที่ฉีด

10.2. ข้อห้ามในการฉีด

10.2.1. ห้ามให้ในเด็กอายุเกิน๖ปี เพราะอาจจะมีอาการทางสมอง ใช้dTแทน ไม่ฉีดในเด็กที่มีประวัติชัก โรคทางระบบประสาท ไม่ฉีดในเด็กระยะที่โปลิโอระบาด ไม่ควรฉีดในเด็กป่วยหรือกำลังมีไข้

11. วัคซีนป้องกันโปลิโอ

11.1. ในระหว่างให้วัคซีนไม่ต้องงดนมแม่ เด็กที่เคยได้รับชนิดฉีดมาแล้วควรให้ฉนิดรับประทานให้ครบชุด

12. วัคซีนโรต้า

12.1. วัคซีนป้องกันการติดเชื้อทางเดินอาหารในเด็ก ห้ามให้ในเด็กที่มีประวัติลำไส้กลืนนกัน วัควีนโรต้า สามารถติดต่อผ่านทางอุจจาระได้ดั้งนั้นต้องแยกเด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำออกจากกัน๑๔วัน

13. วัคซีนอีสุกอีใส

13.1. เป็นวัคซีนทางเลือก เป็นวัคซีนเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและป้องกกันการเกิดโรคอีสุกอีใส เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ต้องระวังในเด็กภูมืคุ้มกันต่ำ มีผลข้างเคียง อาการปวด บวม แดงร้อน อาจมีไข้ต่ำ ผื่นแดง

14. นางสาวภัทรภร จันสอน เลขที่12 36/2 612001092

15. อ้างอิง กัลยา ศรีมหันต์.(ปรับปรุงใหม่2563).เอกสารประกอบการเรียนรุ่น36 วิชาการพยาบาลเด็ก พัฒนาการและภูมิคุ้มกันโรค. วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีราชบุรี ศิริรัตน์ เตชะธวัช และคณะ (บรรณาธิการ) (2558). หลักสูตรเชิงปฏิบัติการสำหรับเจ้าหน้าที่สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค. ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1. นนทบุรี: บริษัทศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์ จำกัด.