ประวัติเปตอง

Começar. É Gratuito
ou inscrever-se com seu endereço de e-mail
ประวัติเปตอง por Mind Map: ประวัติเปตอง

1. ประวิติ

1.1. เปตองเป็นกีฬากลางแจ้งประเภทหนึ่งซึ่งมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประวัติที่แน่นอนนั้นไม่มีการบันทึกไว้ แต่มีหลักฐานจากการเล่าสืบต่อ ๆ กันมาว่า กำเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศกรีซ เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเก็บก้อนหินที่เป็นทรงกลมจากภูเขาและใต้ทะเลมาเล่นกัน ต่อมากีฬาเปตองได้แพร่หลายเข้ามาในทวีปยุโรป เมื่ออาณาจักรโรมันครองอำนาจและเข้ายึดครองดินแดนของชนชาวกรีกได้สำเร็จ ชาวโรมันได้ใช้กีฬาประเภทนี้เป็นเครื่องทดสอบกำลังข้อมือและกำลังกายของผู้ชายในสมัยนั้น เมื่ออาณาจักรโรมันเข้ายึดครองดิน แดนชาวโกลหรือประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน ชาวโรมันก็ได้นำเอาการเล่นลูกบูลประเภทนี้เข้าไปเผยแพร่ทางตอนใต้ของประเทศ ฝรั่งเศส การเล่นลูกบูลจึงได้พัฒนาขึ้นโดยเปลี่ยนมาใช้ไม้เนื้อแข็งถากเป็นรูปทรงกลม แล้วใช้ตะปูตอกรอบ ๆ เพื่อเพิ่มน้ำหนักของลูกให้เหมาะกับมือ ในยุคกลาง การเล่นลูกบูลนี้เป็นที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้านโปเลียนมหาราชขึ้นครองอำนาจ พระองค์ได้ทรงประกาศให้การเล่นลูกบูลนี้เป็นกีฬาประจำชาติของฝรั่งเศส และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เล่นกัน การเล่นลูกบูลนี้จึงได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดมา จนมีการตั้งชื่อเกมกีฬาประเภทนี้ขึ้นมาเล่นอย่างมากมายต่าง ๆ กัน เช่น บูลเบร-รอตรอง, บูลลิโยเน่ส์, บูลเจอร์ เดอร์ลอง และบลู-โปรวังซาล เป็นต้น ในที่สุดก็ฝรั่งเศสได้มีการก่อตั้ง “สหพันธ์ เปตองและโปรวังซาล” ขึ้นในปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) จากนั้นจำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีบุคคลทุกระดับชั้นทุกเพศ ทุกวัยเข้าเป็นสมาชิก ลูกบูลที่ใช้เล่นก็มีการคิดค้นทำเป็นลูกโลหะผสมเหล็กกล้า ข้างในกลวง การเล่นจึงมีความสนุกสนานเร้าใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเล่นกีฬาลูกบูล-โปรวังซาลที่ได้ดัดแปลงแก้ไขใหม่นี้ได้รับความนิยมเล่น มากขึ้น และได้แพร่หลายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อย่างรวดเร็วทั่วประเทศฝรั่งเศส ตลอดจนถึงดินแดน อาณานิคมของฝรั่งเศสอีกด้วย

1.2. ประวัติเปตองในประเทศไทย กีฬาเปตองได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ ปี 2518 โดยการริเริ่มของนายจันทร์ โพยหาญ นำกีฬาเปตองเข้ามาเผยแพร่ให้คนรู้จัก อย่างเป็นทางการคนแรก นายจันทร์ โพยหาญได้ร่วมกับนายศรีภูมิ สุขเนตร ซึ่งเป็นอดีตนักเรียนเก่าฝรั่งเศส ซึ่งมีความรู้ความสามารถในด้านกีฬาเปตองเป็นอย่างดี ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคมเปตอง และโรปวังซาล แห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2519 โดยมีนายศรีภูมิ สุขเนตร เป็นนายกสมาคมคนแรกเมื่อจัดตั้งสมาคมเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการได้ช่วยกันรณรงค์เผยแพร่ และสาธิตการเล่นเปตองมาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควร ต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีทรงช่วยส่งเสริม และเผยแพร่ให้อีกทางหนึ่ง โดยทรงรับสั่งให้จัดการแข่งขันเปตองชิงชนะเลิศภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้น ซึ่งพระองค์ท่านและสมเด็จพระพี่นางเอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ ทรงได้ลงร่วมทำการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย และอีกหลาย ๆ รายการจึงให้สมญานามกีฬาเปตองว่า “กีฬาสมเด็จย่า” ในปี 2527 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ รับสมาคมเปตองและโปรวังซาล แห่งแระเทศไทย ไว้ในพระอุปถัมภ์ และวันที่ 22 เมษายน 2530 เปลี่ยนชื่อสมาคมเปตองฯ เป็นสหพันธ์เปตอง แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ สำนักงานตั้งอยู่ที่ 2088 อินเดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก กรุงเทพฯ ปัจจุบันกีฬาเปตอง มีการบรรจุเข้าในการแข่งขันกีฬา ของส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งภาคเอกชนด้วย เช่น กีฬาแห่งชาติ กีฬาเขตการศึกษา กีฬากองทัพไทย กีฬามหาวิทยาลัย กีฬาของกระทรวงต่าง ๆ กีฬารัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

2. กติกาเปตอง และวิธีการเล่นเปตอง

2.1. 1.แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน ตั้งแต่ 1-3 คน

2.2. 2.เริ่มด้วยการเสี่ยงทาย เพื่อเลือกว่าฝ่ายใดเป็นผู้เริ่มเริ่มก่อน ฝ่ายที่ชนะการเสี่ยงทายจะเป็นฝ่ายเริ่มเล่นก่อน โดยผู้เล่นเลือกจุดเริ่มต้นเขียนวงกลมลงบนพื้นสนาม มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 35-50 เซนติเมตร แต่ต้องห่างจากเส้นเขตสนามหรือสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 1 เมตร

2.3. 3.เมื่อเขียนวงกลมแล้ว ฝ่ายที่ชนะการเสี่ยงจะต้องเข้าไปยืนอยู่ในวงกลม แล้วโยนลูกเป้าให้ห่างออกไปจากจุดเริ่มต้นไม่น้อยกว่า 6-10 เมตร ถ้าโยนไม่ได้ระยะที่กำหนดผู้โยนจะต้องโยนใหม่ หากครบ 3 ครั้งแล้วยังไม่ได้ตามกติกาต้องเปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้โยนลูกเป้าแทน และมีสิทธิโยนได้ 3 ครั้งเหมือนกัน

2.4. 4.เมื่อโยนลูกเป้าได้ถูกต้องแล้ว ฝ่ายที่ชนะการเสี่ยงจะเป็นฝ่ายโยนลูกเปตองให้ไปอยู่ใกล้ลูกเป้ามากที่สุด ขณะโยนเท่าทั้งสองข้างต้องอยู่ภายในวงกลม ห้ามเหยียบเส้น ห้ามยกเท้า และต้องคอยให้ลูกตกถึงพื้นก่อน จึงจะออกจากวงกลมได้

2.5. 5.หากฝ่ายใดโยนลูกเปตองหมดก่อน อีกฝ่ายที่มีลูกเปตองเหลือ ก็จะต้องโยนลูกที่เหลือจนหมด และต้องพยายามให้ลูกเปตองขอฝ่ายตนเข้าใกล้ลูกเป้ามากที่สุด เพื่อจะได้คะแนนมาก ๆ

3. การนับคะแนน

3.1. ให้นับเมื่อทั้งสองฝ่ายโยนลูกเปตองหมดในแต่ละเที่ยว ลูกของฝ่ายใดอยู่ใกล้ลูกเป้ามากที่สุด ฝ่ายนั้นจะได้ลูกละ 1 คะแนน ฝ่ายที่ชนะคือฝ่ายที่ทำคะแนนถึงเกมส์ที่กำหนดก่อน คือ 11 คะแนน ส่วนในรอบชิงชนะเลิศให้เพิ่มเป็น 13 คะแนน

4. ประโยชน์ของเปตอง

4.1. พัฒนาทางด้านร่างกาย

4.1.1. กำลังแขน ผู้เล่นจะต้องมีการใช้กำลังทั้งนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่ให้สัมพันธ์กัน เพื่อการบังคับลูกให้ได้จังหวะ และระยะที่ต้องการ

4.1.2. กำลังขา เท่าที่สถิติโดยประมาณจากการแข่งขันระดับชาตินั้น ผู้เล่นจะต้องเดินกลับไปกลับมาตามความยาวของสนาม คือ 15 เมตร และความกว้างของสนามคือ 4 เมตร ในระยะ 2 ชั่วโมงต่อ 1 เกม (13 คะแนน) ในระหว่างนั้นอาจจะนั่งหรือนั่งงอเข่าเพื่อ “วางหรือเข้าลูก” หรืออาจจะยืนเพื่อ “ยิงหรือตีลูก” ถ้านักกีฬาไม่ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอแล้วจะทำให้เกิดความเมื่อยล้า

4.1.3. สายตา กีฬาเปตองช่วยให้เกิดการทำงานที่สัมพันธ์กันระหว่างสายตา และมือ เนื่องจากต้องใช้สายตากะระยะทาง พิจารณาแง่มุม ทิศทางการเข้า – ตี หรือโยนลูกเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามต้องการ

4.2. พัฒนาทางด้านสติปัญญา

4.2.1. กีฬาเปตอง เป็นเกมการเล่นที่จำเป็นต้องอาศัยการคิด การคาดคะเน การคำนวณ การอ่านเกม และการเล่นอย่างจริงจัง ซึ่งถ้าเล่นผิดพลาดแม้แต่ลูกเดียวก็อาจจะทำให้ทีมแพ้ได้ทันที แต่ในขณะเดียวกันนอกจากการคิดหาวิธีการเล่น “เกมรุก” เพื่อเป็นการบังคับคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าเพื่อ “พลิกเกม” การเล่นไม่ให้เป็นฝ่ายที่เสียเปรียบคู่ต่อสู้

4.3. พัฒนาทางด้านจิตใจ

4.3.1. กีฬาเปตองเป็นกีฬาที่ต้องร่วมเล่น “เป็นทีม” ในบางครั้ง ฉะนั้นวิธีการเล่นจะต้องเข้าถึงจิตใจผู้ร่วมทีมเป็นอย่างยิ่ง ในระหว่างการเล่น ถ้ามีการต่อว่ากันแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้ทีมเป็นฝ่ายแพ้ได้ทันที เพราะจะทำให้ความนึกคิดหรือจิตใจเกิดความขัดแย้งกันขึ้นอันเป็นผลทำให้การเล่นเล่นได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพของตน

4.3.2. นอกจากนี้ยังช่วยให้ได้รู้จักเป็นบุคคลที่ยอมรับฟังความคิดเห็น และเหตุผลของผู้ร่วมทีมในกรณีที่ต้องการปรึกษาวางแผนร่วมกันในระหว่างการแข่งขัน เพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้

4.4. พัฒนาทางด้านสมาธิ

4.4.1. การเล่นเปตองนั้น สมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักกีฬา ไม่ว่าจะเล่นประเภทเดี่ยวหรือประเภททีม ผู้เล่นจะต้องฝึกการวางเฉยให้ได้ ต้องไม่วิตกกังวลมากกเกินไป ไม่ท้อถอย ไม่ตั้งความหวังมากเกินไป และที่สำคัญต้องไม่ใส่ใจเสียงของผู้ชมรอบข้างสนาม ไม่ว่าจะเป็นเสียงเชียร์เสียงข่มขวัญ หรือแม้แต่เสียงสอนเกมการเล่น เพราะจะทำให้เกิดความสับสน ไม่แน่ใจเพราะขาดสมาธิ อันจะมีผลโดยตรงต่อฝีมือของตนเองในการเล่น เปตอง

4.5. พัฒนาทางด้านสังคม

4.5.1. กีฬาเปตอง เป็นกีฬาที่เล่นง่ายในสายตาของคนไทย ฉะนั้นจึงมีผู้นิยมเล่นกันอย่างแพร่หลายและเป็นจำนวนมาก จะเห็นได้ว่ามีการจัดการแข่งขันกีฬาเปตองตามหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อจะได้มาพบปะสังสรรค์กัน ได้รู้จักกันและร่วมสนุกสนานสามัคคีกัน นับเป็นการสร้างสังคมอันดีแก่นักกีฬาที่มาร่วมการแข่งขันโดยแท้จริง

4.5.2. นอกจากนั้น กีฬาเปตองยังได้เข้ามามีบทบาทในทางการกุศลตลอดมาในปัจจุบัน