
1. การควบคุมมลพิษทางอากาศ
1.1. เครื่องแยกโดยการตกเนื่องจากน้ำหนัก
1.1.1. ฝุ่นละอองที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ต้องมีการควบคุมหรือแก้ปัญหา จึงมีการนำความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงมาใช้แยกอนุภาคของฝุ่นละอองออกจากอากาศ นั่นคืออากาศเสียจะถูกดูดผ่านท่อที่มีพื้นที่ขนาดเล็กเข้ามาสู่ห้องที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทำให้อนุภาคฝุ่นมีความเร็วลดลงและตกลงสู่ด้านล่างเครื่อง และอากาศที่ไม่มีฝุ่นจะไหลผ่านท่อ เพื่อปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม
1.1.2. ข้อดี
1.1.2.1. 1.อุปกรณ์ออกแบบง่าย ควบคุมดูแลและบำรุงรักษาง่าย
1.1.2.2. 2.แยกอนุภาคขนาดใหญ่ 40-60 ไมครอน
1.1.3. ข้อเสีย
1.1.3.1. 1.มีประสิทธิภาพต่ำ (20-60%) จึงมักใช้ในการบำบัดขั้นต้น เพื่อการกำจัดฝุ่นละอองขนาดใหญ่
1.1.3.2. 2.มีขนาดใหญ่ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ในการก่อสร้าง
1.1.3.3. 3.ไม่เหมาะกับโรงงานที่ฝุ่นมีความชื้นสูงหรือฝุ่นเปียก
1.2. เครื่องแยกด้วยแรงเหวี่ยง(ไซโคลน)
1.2.1. เครื่องแยกโดยการตกเนื่องจากน้ำหนัก ไม่สามารถควบคุมฝุ่นขนาดเล็กกว่า 40-60 ไมครอนได้ จึงมีการนำความรู้เรื่องแรงหนีศูนย์กลาง แรงเหวี่ยงมาพัฒนาโดยแรงหนีศูนย์กลางที่เกิดขึ้นจะบังคับให้ฝุ่นละออง เคลื่อนที่แนบติดกับผนังไซโคลนและเกิดการหมุนลงไปยังส่วนปลายไซโคลนที่เรียวเล็กลงไปเรื่อย และบังคับให้ฝุ่นละอองออกจากตัวไซโคลนที่ด้านล่าง
1.2.2. ข้อดี
1.2.2.1. 1.แยกอนุภาคฝุ่นละอองขนาดมากกว่า 10 ไมครอน
1.2.2.2. 2.ค่าติดตั้งและดำเนินการไม่สูง
1.2.2.3. 3.สามารถใช้ได้กับอากาศเสียที่มีอุณหภูมิสูง
1.2.3. ข้อเสีย
1.2.3.1. 1.ไม่เหมาะกับโรงงานที่ฝุ่นมีความชื้นสูงหรือฝุ่นเปียก
1.2.3.2. 2.เกิดการสึกหรอของตัวเครื่องอย่างรวดเร็ว
1.3. เครื่องแยกอนุภาคด้วยถุงกรอง
1.3.1. เครื่องแยกอนุภาคด้วยแรงเหวี่ยง ควบคุมได้เฉพาะอนุภาคฝุ่นละอองขนาดมากกว่า 10 ไมครอน จึงมีการนำหลักของการกรองซึ่งจะแยกอนุภาคสารปนเปื้อนโดยผ่านตัวกรอง ตัวกรองทำจากถุงผ้าฝ้ายหรือไฟเบอร์กลาสหรือใยหินหรือไนลอน
1.3.2. ข้อดี
1.3.2.1. 1.แยกอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กถึง 0.1 ไมครอน
1.3.3. ข้อเสีย
1.3.3.1. 1.ใช้ควบคุมได้เฉพาะฝุ่นแห้ง
1.3.3.2. 2.ต้องการการเปลี่ยนถุงกรอง
1.3.3.3. 3.อายุการใช้งานของถุงกรองอาจสั้น เนื่องจากอุณหภูมิสูงหรือสภาพความเป็นกรดด่าง
1.3.3.4. 4.ใช้กับอากาศเสียที่มีความชื้นสูงไม่ได้ เพราะทำให้ถุงกรองอุดตัน
1.4. เครื่องพ่นจับแบบเปียก
1.4.1. เครื่องแยกอนุภาคด้วยถุงกรองไม่สามารถแยกไอสารเคมีที่เกิดจากกระบวนการผลิต จึงนำหลักการทำงานแบบสัมผัสกันระหว่างอากาศเสียและของเหลวมาใช้ดักจับฝุ่นละออง และไอสารเคมี โดยการฉีดละอองของเหลวให้เป็นฝอยลงสู่อากาศเสีย โดยไอสารเคมีและฝุ่นละอองที่เปียกจะรวมกันเป็นกลุ่มก้อน และตกลงด้านล่างของเครื่องพร้อมกับน้ำเสียจากการใช้งาน
1.4.2. ข้อดี
1.4.2.1. 1.แยกแก๊สและฝุ่นละอองได้
1.4.2.2. 2.สามารถใช้ได้กับอากาศเสียที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูงได้
1.4.2.3. 3.เหมาะสำหรับการควบคุมอากาศเสียที่เป็นกรด-ด่าง
1.4.3. ข้อเสีย
1.4.3.1. 1.มีปัญหาการผุกร่อนและสึกหรอของตัวเครื่อง
1.4.3.2. 2.มีค่าใช้จ่ายในการบำบัดน้ำเสีย
1.5. เครื่องตกตะกอนไฟฟ้าสถิต
1.5.1. เตรื่องพ่นจับแบบเปียก ก่อให้เกิดน้ำเสียและตะกอนเหลวที่เกิดจากการแยกอนุภาค และไม่สามารถดักฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอนได้ จึงนำความรู้เรื่องแรงทางไฟฟ้ามาใช้ในการแยกฝุ่นละอองขนาดเล็กออกจากอากาศ การทำงานประกอบด้วยแผ่นที่ให้ประจุลบกับอนุภาคฝุ่น และแผ่นเก็บฝุ่นซึ่งมีประจุบวกทำหน้าที่จับและเก็บฝุ่นไว้ เมื่อฝุ่นเกาะหนาประมาณ 6-12 มิลลิเมตร จะถูกเคาะให้ฝุ่นร่วงลงมาในท่อเพื่อลำเลียงออกไปจากตัวเครื่องนำไปฝังกลบต่อไป
1.5.2. ข้อดี
1.5.2.1. 1.สามารถแยกฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน ได้มากกว่า 99%
1.5.2.2. 2.ใช้ได้กับอากาศที่มีความชื้นและแห้ง
1.5.3. ข้อเสีย
1.5.3.1. 1.มีการใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก
1.5.3.2. 2.ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบสูง
1.5.3.3. 3.ไม่สามารถใช้กับฝุ่นละอองที่มีสมบัติติดไฟหรือระเบิดง่าย
2. การจัดการขยะมูลฝอย
2.1. เทกลางแจ้ง
2.1.1. เมื่อมีขยะมูลฝอยเกิดขึ้น จึงมีการนำขยะมูลฝอยไปกำจัดโดยการเทกองรวมไว้กลางแจ้งในพื้นที่ว่างเปล่า เพื่อให้ขยะมูลฝอยเน่าเปื่อยตามธรรมชาติ
2.1.2. ข้อดี
2.1.2.1. 1.เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ยุ่งยากต่อการจัดการขยะมูลฝอยและใช้งบประมาณน้อย
2.1.3. ข้อเสีย
2.1.3.1. 1.เป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค และเกิดกลิ่นรบกวน
2.1.3.2. 2.ใช้พื้นที่มาก ทำให้บ้านเมืองสกปรก และไม่เป็นระเบียบ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
2.1.3.3. 3.เกิดปัญหามลพิษทางน้ำ ดิน อากาศ และทัศนียภาพ
2.2. ฝังกลบอย่างถูกสุขาภิบาล
2.2.1. ขยะมูลฝอยส่งกลิ่นรบกวน เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค จึงมีการนำขยะมูลฝอยมาฝังกลบในบ่อขยะที่จัดเตรียมไว้ โดยมีการออกแบบและก่อสร้างตามหลักวิชาการ เช่น การปูพื้นบ่อขยะด้วยพลาสติกกันซึม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของน้ำชะขยะลงสู่แหล่งน้ำหรือปนเปื้อนลงในดิน การวางท่อระบายแก๊สที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์ที่อยู่ในบ่อขยะ
2.2.2. ข้อดี
2.2.2.1. 1.เป็นระบบที่ง่ายไม่ซับซ้อน ค่าใช้จ่ายในการลงทุนและค่าดูแลระบบไม่สูง
2.2.2.2. 2.สามารถกำจัดขยะมูลฝอยได้ทุกประเภท ยกเว้นขยะพิษ และขยะติดเชื้อ
2.2.2.3. 3.แก๊สมีเทนที่เกิดจากการฝังกลบสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้
2.2.3. ข้อเสีย
2.2.3.1. 1.ใช้พื้นที่ฝังกลบมาก และพื้นที่ต้องห่างไกลจากชุมชน
2.2.3.2. 2.มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งขยะมูลฝอย
2.2.3.3. 3.ใช้ดินกลบทับขยะมูลฝอยเป็นจำนวนมาก
2.3. หมักทำปุ๋ย
2.3.1. ขยะอินทรีย์ (เศษอาหาร เศษผัก ผลไม้ ของเหลือจากการเกษตร) เพิ่มมากขึ้น พื้นที่ไม่เพียงพอต่อการฝังกลบ จึงใช้ความรู้เรื่องการย่อยสลายสารอินทรีย์ โดยนำขยะอินทรีย์มาผ่านกระบวนการหมักให้เป็นปุ๋ย เพื่อปรับปรุงคุณภาพดิน
2.3.2. ข้อดี
2.3.2.1. 1.สร้างประโยชน์จากขยะอินทรีย์ โดยการผลิตปุ๋ย
2.3.2.2. 2.มีการคัดแยกขยะอินทรีย์ก่อนเข้ากระบวนการหมักทำปุ๋ย
2.3.3. ข้อเสีย
2.3.3.1. 1.พื้นที่ในการทำปุ๋ยหมักต้องห่างไกลจากชุมชน เพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน
2.3.3.2. 2.มีการดูแลระบบอย่างสม่ำเสมอ เช่น การพลิกกลับกองปุ๋ยหมัก
2.4. เตาเผาในชุมชน
2.4.1. เมื่อพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการจัดการขยะมูลฝอยแบบการฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล แต่มีความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีการเผาไหม้มากขึ้น จึงมีการสร้างเตาเผาชุมชนที่มีขนาดเล็กสามารถจัดการขยะมูลฝอยปริมาณไม่มากได้เป็นอย่างดี
2.4.2. ข้อดี
2.4.2.1. 1.ไม่ก่อให้เกิดขยะมูลฝอยตกค้างในชุมชน
2.4.2.2. 2.ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการขนส่งขยะมูลฝอย
2.4.2.3. 3.ใช้พื้นที่ในการจัดการขยะมูลฝอยน้อย
2.4.2.4. 4.ก่อนการเผามีการคัดแยกขยะอินทรีย์และขยะที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้
2.4.3. ข้อเสีย
2.4.3.1. 1.ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละอองจากการเผาไหม้ ซึ่งเป็นผลเสียต่อระบบหายใจ
2.4.3.2. 2.มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนและค่าดำเนินการดูแลระบบ
2.5. เตาเผาเพื่อผลิตพลังงาน
2.5.1. ขยะมูลฝอยมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตาเผาชุมชนไม่สามารถกำจัดได้หมด และเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น จึงมีการนำความรู้ในเรื่องการนำพลังงานความร้อน จากการเผาไหม้ขยะมูลฝอยมาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า เกิดเป็นแนวคิด"เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน" คุณส่ง 10 มีนาคม เวลา 21:49 น. ข้อ
2.5.2. ข้อดี
2.5.2.1. 1.ใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยในการผลิตพลังงานไฟฟ้า
2.5.2.2. 2.ใช้พื้นที่น้อย ไม่ก่อให้เกิดขยะมูลฝอยตกค้าง
2.5.3. ข้อเสีย
2.5.3.1. 1.หากดำเนินการไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศทำให้ระคายเคืองกับระบบหายใจ
2.5.3.2. 2.เถ้าที่เกิดจากการเผาไหม้ ต้องนำไปกำจัดด้วยวิธีฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล
2.5.3.3. 3.ค่าใช้จ่ายในการลงทุนและค่าดำเนินการดูแลระบบสูง
3. การบำบัดน้ำเสีย
3.1. ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบึงประดิษฐ์
3.1.1. เป็นการบำบัดน้ำเสียจากชุมชนที่มีสารอินทรีย์เป็นองค์ประกอบหลัก มีลักษณะใกล้เคียงกับบึงในธรรมชาติ หลักการทำงาน สารอินทรีย์ส่วนหนึ่ง จะตกตะกอนจมตัวลงสู่ก้นบึง และถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ส่วนสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำจะถูกกำจัดโดยจุลินทรีย์ที่เกาะติดอยู่กับพืชน้ำหรือชั้นหิน โดยได้รับออกซิเจนจากการแทรกซึมของอากาศผ่านผิวน้ำหรือชั้นหินลงมา
3.1.2. ข้อดี
3.1.2.1. 1.การทำงานไม่ซับซ้อนและไม่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการบำบัด
3.1.2.2. 2.พืชน้ำที่ใช้ในการบำบัดสามารถนำมาใช้ประโยชน์และเพิ่มมูลค่าได้
3.1.3. ข้อเสีย
3.1.3.1. 1.การบำบัดน้ำเสียใช้ระยะเวลานาน และมีประสิทธิภาพต่ำ จึงไม่สามารถรองรับน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีปริมาณมากได้
3.2. ระบบบำบัดน้ำเสียแบบบ่อเติมอากาศ
3.2.1. เมื่อน้ำเสียมีปริมาณสารอินทรีย์มากขึ้น จึงมีการเติมออกซิเจนให้กับน้ำเสีย เพื่อเพิ่มประสิทธิในการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้เครื่องเติมอากาศ เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา เป็นเครื่องเติมอากาศให้มีปริมาณออกซิเจนเพียงพอสำหรับจุลินทรีย์สามารถนำไปใช้ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียได้รวดเร็วกว่าระบบบำบัดน้ำเสียแบบบึงประดิษฐ์
3.2.2. ข้อดี
3.2.2.1. 1.สามารถบำบัดน้ำเสียจากชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็ก
3.2.2.2. 2.การดำเนินงานและบำรุงรักษาไม่ยุ่งยาก
3.2.3. ข้อเสีย
3.2.3.1. 1.ใช้ไฟฟ้าในการทำงานของระบบบำบัด
3.2.3.2. 2.มีค่าซ่อมบำรุงและดูแลเครื่องเติมอากาศ
3.3. ระบบบำบัดน้ำเสียแบบตะกอนเร่ง
3.3.1. เมื่อน้ำเสียมีปริมาณสารอินทรีย์สูงมากขึ้น ใช้เวลาในการบำบัดนาน จึงมีการเติมแบคทีเรียซึ่งเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่ใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย พร้อมกับมีการเติมอากาศ ซึ่งเป็นการผสมให้น้ำเสียและจุลินทรีย์ที่อยู่ในถังเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อเร่งการย่อยสลายอินทรีย์และอนินทรีย์ให้เร็วขึ้น
3.3.2. ข้อดี
3.3.2.1. 1.สามารถบำบัดได้ทั้งน้ำเสียชุมชนและน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
3.3.2.2. 2.ใช้เวลาในการบำบัดน้ำเสียน้อยลง
3.3.3. ข้อเสีย
3.3.3.1. 1.การดำเนินงานและบำรุงรักษามีความยุ่งยาก เพราะ ต้องควบคุมสภาพแวดล้อมและลักษณะทางกายภาพให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
3.4. ระบบบำบัดน้ำเสียแบบโคแอกกูเลชั่น
3.4.1. การบำบัดน้ำเสียด้วยวิธีที่กล่าวมาแล้วไม่สามารถบำบัดน้ำเสียที่มีสารแขวนลอยขนาดเล็ก(อนุภาคอยู่ในช่วง 0.1-1 นาโนเมตร) จึงนำหลักการของกระบวนการโคแอกกูเลชั่นซึ่งเป็นกระบวนการประสานคอลลอยด์มาใช้ในการบำบัด โดยการเติมสารช่วยให้เกิดการตกตะกอน เช่น สารส้ม ลงไปในน้ำเสียทำให้สารแขวนลอยขนาดเล็กจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนจนมีน้ำหนักมากและสามารถตกตะกอนลงมาได้อย่างรวดเร็ว
3.4.2. ข้อดี
3.4.2.1. 1.สามารถบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสารแขวนลอยขนาดเล็กและมีไขมันหรือน้ำมันละลายอยู่
3.4.3. ข้อเสีย
3.4.3.1. 1.มีค่าใช้จ่ายในการซื้อสารเคมี และมีการใช้ไฟฟ้าในการกวนผสมสารเคมีกับน้ำเสีย
3.4.3.2. 2.การดำเนินงานและบำรุงรักษายุ่งยาก เพราะต้องหาค่าปริมาณสารเคมีที่เหมาะสมกับน้ำเสียที่เข้าระบบ
3.4.3.3. 3.ในกรณีที่น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดยังมีค่าสารอินทรีย์สูงต้องส่งไปบำบัดต่อ
3.5. ระบบบำบัดน้ำเสียแบบการแลกเปลี่ยนประจุ
3.5.1. รงงานอุตสาหกรรมบางแห่งมีโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำเสีย จึงมีการพัฒนาให้สามารถบำบัดโลหะหนักได้ โดยอาศัยหลักการแลกเปลี่ยนประจุระหว่างโลหะหนักในน้ำเสียกับตัวกลางหรือเรซิน โดยโลหะหนักจะแลกเปลี่ยนประจุกับเรซินแล้วถูกเรซินจับไว้ ทำให้น้ำเสียที่ผ่านระบบไม่มีสารปนเปื้อนของโลหะหนักเหลืออยู่
3.5.2. ข้อดี
3.5.2.1. 1.บำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีโลหะหนักปนเปื้อน
3.5.2.2. 2.ฟื้นฟูสภาพของเรซินที่เสื่อมสภาพให้นำกลับมาใช้ใหม่ได้
3.5.2.3. 3.นำโลหะหนักที่เป็นสารปนเปื้อนมาใช้ประโยชน์ใหม่
3.5.3. ข้อเสีย
3.5.3.1. 1.ใช้สารเคมีในการฟื้นฟูสภาพของเรซิน
3.5.3.2. 2.มีค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ และอุปกรณ์มีราคาแพง