Get Started. It's Free
or sign up with your email address
Network Security by Mind Map: Network Security

1. Firewall  เป็นคอมโพเน็นต์หรือกลุ่มของคอมโพเน็นต์ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมการเข้าถึงระหว่างเน็ตเวิร์กภายนอกหรือเน็ตเวิร์กที่เราคิดว่าไม่ปลอดภัย กับเน็ตเวิร์กภายในหรือเน็ตเวิร์กที่เราต้องการจะป้องกัน โดยที่คอมโพเน็นต์นั้นอาจจะเป็นเราเตอร์ คอมพิวเตอร์ หรือเน็ตเวิร์ก ประกอบกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการหรือ Firewall Architecture ที่ใช้

2. Firewall Architecture

2.1. 1. การจัดวางไฟร์วอลล์คอมโพเน็นต์ในแบบต่างๆ เพื่อทำให้เกิดเป็นระบบไฟร์วอลล์ขึ้น

2.2. 2. Single Box Architecture

2.2.1. 1. Firewall Architecture
-Single Box Architecture                                                                                   -เป็น Architecture แบบง่ายๆ ที่มีcomponentทำหน้าที่เป็นไฟร์วอลล์เพียงอันเดียวตั้งอยู่ระหว่างเน็ตเวิร์กภายในกับเน็ตเวิร์กภายนอก      -ข้อดีของวิธีนี้ก็คือการที่มีเพียงจุดเดียวที่หน้าที่ไฟร์วอลล์ทั้งหมด ควบคุมการเข้าออกของข้อมูล ทำให้ดูแลได้ง่าย เป็นจุดสนใจในการดูแลความปลอดภัยเน็ตเวิร์ก      -ในทางกลับกันข้อเสียของวิธีนี้ก็คือ การที่มีเพียงจุดเดียวนี้ ทำให้มีความเสี่ยงสูง หากมีการconfigurationผิดพลาดหรือมีช่องโหว่เพียงเล็กน้อย การผิดพลาดเพียงจุดเดียวอาจทำให้ระบบถูกเจาะได้

2.2.2. 2. Screening Router , Dual-Homed Host หรือ Multi-purposed Firewall Box

2.2.3. (3.) Single Box Architecture มี component ที่ใช้คือ 1. Screening Router เราสามารถใช้เราเตอร์ทำ Packet Filtering ได้ วิธีนี้จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากส่วนใหญ่จะใช้เราเตอร์ต่อกับเน็ตเวิร์กภายนอกอยู่แล้ว แต่วิธีนี้อาจไม่ยืดหยุ่นมากนักในการconfiguration

2.2.3.1. 1. Architecture แบบนี้เหมาะสำหรับ

2.2.3.2. 2. เน็ตเวิร์กที่มีการป้องกันความปลอดภัยในระดับของโฮสต์ (Host security) เป็นอย่างดีแล้ว

2.2.3.3. 3. มีการใช้โปรโตคอลไม่มาก และโปรโตคอลที่ใช้ก็เป็นโปรโตคอลที่ไม่ซับซ้อน

2.2.3.4. 4. ต้องการไฟร์วอลล์ที่มีความเร็วสูง

2.2.4. ( 4.)                                                                          2.Dual-Homed Host เราสามารถใช้ Dual-Homed Host ( คอมพิวเตอร์ที่มีNetwork interfaceอย่างน้อย 2 อัน) ใช้การบริการเป็น Proxy ให้กับเครื่องภายในเน็ตเวิร์ก

2.2.4.1. 1. Architecture แบบนี้เหมาะสำหรับ

2.2.4.2. 2. เน็ตเวิร์กที่มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตค่อนข้างน้อย

2.2.4.3. 3. เน็ตเวิร์กที่ไม่ได้มีข้อมูลสำคัญๆ

2.2.5. ( 5.)                                                                           3.Multi-purposed Firewall Box มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่ผลิตออกมาเป็นpackage เดียว ซึ่งทำหน้าที่ได้หลายอย่าง ทั้ง Packet Filtering, Proxy แต่ก็อย่าลืมว่านี่คือ Architecture แบบชั้นเดียว ซึ่งถ้าพลาดแล้วก็จะเสียหายทั้งเน็ตเวิร์กได้

2.3. 3. Screened Host Architecture

2.3.1. 1. จะมีโฮสต์ซึ่งให้บริการ Proxy เหมือนกับใน Single Box Architecture ที่เป็น Dual-homed Host แต่จะต่างกันตรงที่ว่า โฮสต์นั้นจะอยู่ภายในเน็ตเวิร์ก ไม่ต่ออยู่กับเน็ตเวิร์กภายนอกอื่นๆ

2.3.2. 2. มี เราเตอร์ที่ทำหน้าที่ Packet Filtering ช่วยบังคับให้เครื่องภายในเน็ตเวิร์กต้องติดต่อเซอร์วิสผ่าน Proxy โดยไม่ยอมให้ติดต่อใช้เซอร์วิสจากภายนอกโดยตรง และก็ให้ภายนอกเข้าถึงได้เฉพาะ Bastion host ( คือโฮสต์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตี มักจะเป็นโฮสต์ที่เปิดให้บริการกับอินเตอร์เน็ต ดังนั้นโฮสต์นี้ต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ) เท่านั้น

2.3.3. 3. Architecture นี้เหมาะสำหรับ

2.3.4. 4. เน็ตเวิร์กที่มีการติดต่อกับเน็ตเวิร์กภายนอกน้อย

2.3.5. 5. เน็ตเวิร์กที่มีการป้องกันความปลอดภัยในระดับของโฮสต์เป็นอย่างดีแล้ว

2.4. 4. Firewall Architecture                                           -Multi Layer Architecture

2.4.1. 1. ในสถาปัตยกรรมแบบหลายชั้น ไฟร์วอลล์จะเกิดขึ้นจากคอมโพเน็นต์หลายๆส่วนทำหน้าที่ประกอบกันขึ้นเป็นระบบ

2.4.2. 2. วิธีการนี้สามารถเพิ่มความปลอดภัยได้มาก เนื่องจากเป็นการลดความเสี่ยงต่อความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ถ้าหากมีไฟร์วอลล์เพียงจุดเดียวแล้วมีเกิดความผิดพลาดเกิดขึ้น ระบบทั้งหมดก็จะเป็นอันตราย แต่ถ้ามีการป้องกันหลายชั้น หากในชั้นแรกถูกเจาะ ก็อาจจะมีความเสียหายเพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือระบบก็ยังคงมีชั้นอื่นๆ ในการป้องกันอันตราย

2.4.3. 3. ลดความเสี่ยงได้โดยการที่แต่ละชั้นนั้นมีการใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดความหลากหลาย เป็นการหลีกเลี่ยงการโจมตีหรือช่องโหว่ที่อาจมีในเทคโนโลยีชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วสถาปัตยกรรมแบบหลายชั้นจะเป็นการต่อกันเป็นซีรี่โดยมี Perimeter Network (หรือบางทีเรียกว่า DMZ Network) อยู่ตรงกลาง เรียกว่า Screened Subnet Architecture

2.4.4. 4. Screened Subnet Architecture เป็นสถาปัตยกรรมที่มีการเพิ่ม Perimeter Network เข้าไปกั้นระหว่างอินเตอร์เน็ตกับเน็ตเวิร์กภายในไม่ให้เชื่อมต่อกันโดยตรง ทำให้เน็ตเวิร์กภายในมีความปลอดภัยมากขึ้น

2.4.5. 5. ประกอบไปด้วย เราเตอร์ 2 ตัว ตัวนึงอยู่ระหว่างอินเตอร์เน็ตกับ Perimeter Network ส่วนอีกตัวหนึ่งอยู่ระหว่าง Perimeter Network กับเน็ตเวิร์กภายใน ถ้าหากแฮกเกอร์จะเจาะเน็ตเวิร์กภายในต้องผ่านเราเตอร์เข้ามาถึง 2 ตัวด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะเจาะชั้นแรกเข้ามายัง Bastion host ได้ แต่ก็ยังต้องผ่านเราเตอร์ตัวในอีก ถึงจะเข้ามายังเน็ตเวิร์กภายในได้

2.4.6. 6.Firewall Architecture                                           -Multi Layer Architecture

2.4.6.1. 1. Perimeter Network ใช้ในการแบ่งเน็ตเวิร์กออกเป็นส่วนๆ ทำให้การไหลของข้อมูลถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆตามเน็ตเวิร์กด้วย

2.4.6.2. 2. Bastion Host ตั้งอยู่บน Perimeter Network ทำหน้าที่ให้บริการ Proxy กับเน็ตเวิร์กภายใน และให้บริการต่างๆ กับผู้ใช้บนอินเตอร์เน็ต

2.4.6.3. 3. Interior Router ตั้งอยู่ระหว่าง Perimeter Network กับเน็ตเวิร์กภายใน ทำหน้าที่ Packet Filtering ป้องกันเน็ตเวิร์กภายในจาก Perimeter Network

2.4.6.4. 4. Exterior Router ตั้งอยู่ระหว่างเน็ตเวิร์กภายนอกกับ Perimeter Network เนื่องจาก Exterior Router เป็นจุดที่ต่ออยู่กับเน็ตเวิร์กภายนอก จึงมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การป้องกันแพ็กเก็ตที่มีการ Forged IP Address เข้ามา

2.5. 5. Screened Subnet Architecture

3. Intrusion Detection and Prevention System

3.1. Introduction

3.1.1. การ Monitoring เป็นกระบวนการที่สำคัญในกลุ่มการทำงาน PDR

3.1.2. Intrusion Detection System คืออุปกรณ์ที่ใช้ในการ Detect สัญญาณของปัญหาต่างๆ ในระบบสารสนเทศ

3.1.3. Intrusion Prevention System เป็นระบบที่มีความสามารถมากกว่า Intrusion Detection System โดยมีความสามารถในการ Prevent และ Response ต่อปัญหาการโจมตีต่างๆ ได้

3.2. Intrusion

3.2.1. การทำงานที่ทำให้ระบบสูญเสีย Confidentiality , Integrity, Availability

3.2.2. การทำงานที่ทำให้กระบวนการ Security Mechanism ต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้

3.2.3. เช่นการทำงานของมัลแวร์ต่างๆ , unauthorized access, authorized users ที่ดำเนินการเพิ่มสิทธิของตนเอง

3.2.4. การทำงานโดยไม่รู้หรือไม่ตั้งใจของผู้ใช้งานเช่นพิมพ์ผิด การเข้าใช้งานระบบผิด อาจทำให้มองได้ว่าเป็นการบุกรุก (False Positive)

3.3. ที่มาของข้อมูล

3.3.1. ข้อมูลต่างๆที่มีอยู่ภายในระบบ

3.3.2. Log File

3.3.3. ข้อมูลใน Network

3.3.4. File System

3.3.5. System Call

3.3.6. Agent อื่นๆ

3.4. การทำงานของ IDPS

3.4.1. ระบุเหตุฉุกเฉินที่เป็นไปได้

3.4.2. เก็บข้อมูลเหตุฉุกเฉินที่พบ

3.4.3. พยายามหยุดการบุกรุกโดยอัตโนมัติ

3.4.4. ระบุปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งขัดกับนโยบายการรักษาความปลอดภัย

3.4.5. จัดทำรายงานและแจ้งเตือนผู้ดูแลระบบ

3.5. ผลลัพธ์การทำงานของ IDPS

3.5.1. ผลลัพธ์ส่วนใหญ่จะเป็นการแจ้งเตือนและเก็บข้อมูลการแจ้งเตือนในรูปแบบต่างๆ เช่น

3.5.1.1. การแสดง Alert Message ในหน้าจอ

3.5.1.2. การส่งอีเมล์ , SMS แจ้งเตือน

3.5.1.3. การส่งเสียง , ไฟกะพริบแจ้งเตือน

3.5.1.3.1. Intrusion prevention systems (IPS)

3.5.2. ความสามารถในการตอบสนองต่อปัญหา

3.5.2.1. ตัดการเชื่อมต่อ

3.5.2.2. ตั้งค่าระบบเพิ่มเติม

4. Intrusion prevention systems (IPS)

4.1. IPS (Intrusion Prevention System) คือ Software หรือ hardware ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ตรวจสอบการบุกรุกโดยจะทำงานคล้ายๆกับ IDS(Intrusion Detection System) แต่จะมีคุณสมบัติพิเศษในการจู่โจมกลับหรือหยุดยั้งผู้บุกรุกได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยโปรแกรมหรือ hardware ตัวอื่นๆ

4.2. ความแตกต่าง                                                                                                            IDS นั้นมีมานานแล้ว ทำหน้าที่ตรวจสอบ รูปแบบ packet ที่วิ่งภายในเครือข่าย เมื่อพบรูปแบบการทำงานที่เข้าจข่ายผิดปกติจึงทำการแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบนั้นๆ        IPS จะทำหน้าที่คล้ายๆ กับ IDS แต่จะต่างตรงนอกจากจะแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบนั้นแล้ว IPS ยังมีความสามารถในการยับยั้ง รูปแบบ packet ที่ผิดปกตินั้นๆ ได้ด้วยตามค่าที่ตั้งไว้ครับ

4.3. IPS is used as Inline mode protection for securing internal network.

4.4. Objectives

4.4.1. The main objectives of intrusion prevention systems are:

4.4.1.1. Identification of malicious activity

4.4.1.2. Log information about said activity

4.4.1.3. Attempt to block/stop harmful activity

4.4.1.4. Report malevolent activity.

4.5. ประเภทของ  IPS  แบ่งประเภทตามแพลตฟอร์ม (Network / Host based)

4.5.1. Network-based intrusion prevention system (NIPS): monitors the entire network for suspicious traffic by analysing protocol activity.

4.5.2. Wireless intrusion prevention systems (WIPS): monitor a wireless network for suspicious traffic by analysing wireless networking protocols.

4.5.3. Network behavior analysis (NBA): examines network traffic to identify threats that generate unusual traffic flows, such as distributed denial of service (DDoS) attacks, certain forms of malware and policy violations.

4.5.4. Host-based intrusion prevention system (HIPS): an installed software package which monitors a single host for suspicious activity by analysing events occurring within that host.

4.6. Network-based intrusion prevention system (NIPS):

4.6.1. monitors the entire network for suspicious traffic by analyzing protocol activity.

4.6.2. In a NIPS, sensors are located at network borders of the network. Sensors capture all network traffic and analyzes the content of individual packets for malicious traffic and prevents them.

4.6.3. Example: Snort (Snort is a free and open source network intrusion prevention system (NIPS) created by Martin Roesch in 1998.Snort is now developed by Sourcefire.)

4.7. Wireless intrusion prevention systems (WIPS):

4.7.1. a wireless intrusion prevention system (WIPS) is a network device that monitors the radio spectrum for the presence of unauthorized access points (intrusion detection), and can automatically take countermeasures (intrusion prevention).

4.7.2. WIPS configurations consist of three components:

4.7.2.1. Sensors — These devices contain antennas and radios that scan the wireless spectrum for packets and are installed throughout areas to be protected

4.7.2.2. Server — The WIPS server centrally analyzes packets captured by sensors

4.7.2.3. Console — The console provides the primary user interface into the system for administration and reporting

4.8. Network behavior analysis (NBA)

4.8.1. Network behavior analysis (NBA) is a way to enhance the security of a proprietary network by monitoring traffic and noting unusual actions or departures from normal operation.

4.8.2. examines network traffic to identify threats that generate unusual traffic flows, such as distributed denial of service (DDoS) attacks, certain forms of malware and policy violations.

4.9. Host-based intrusion prevention system (HIPS):

4.9.1. A host-based intrusion prevention system (HIPS) is a system or a program employed to protect critical computer systems containing crucial data against viruses and other Internet malware.

4.9.2. an installed software package which monitors a single host for suspicious activity by analysing events occurring within that host.

4.10. Detection methods

4.10.1. Signature-Based Detection: Signature based IDS monitors packets in the Network and compares with pre-configured and pre-determined attack patterns known as signatures.

4.10.2. Advantages

4.10.2.1. Simple to implement

4.10.2.2. Lightweight

4.10.2.3. Low false positive rate

4.10.2.4. High true positive rate for known attacks

4.10.3. Disadvantages

4.10.3.1. Low detection rate for zero day attacks

4.10.4. Statistical anomaly-based detection:A                   statistical anomaly-based IDS determines the normal network activity like what sort of bandwidth is generally used, what protocols are used, what ports and devices generally connect to each other- and alert the administrator or user when traffic is detected which is anomalous (not normal).

4.10.5. Statistical anomaly-based detection: A statistical anomaly-based IDS determines the normal network activity like what sort of bandwidth is generally used, what protocols are used, what ports and devices generally connect to each other- and alert the administrator or user when traffic is detected which is anomalous (not normal).

4.10.6. Stateful Protocol Analysis Detection: This method identifies deviations of protocol states by comparing observed events with “predetermined profiles of generally accepted definitions of benign activity.”

4.11. โปรแกรมที่ทำงานในลักษณะเดียวกับ IPS

4.11.1. โปรแกรมตรวจจับไวรัส (Virus Scanner)

4.11.1.1. Network-Based Scanner

4.11.1.1.1. ตรวจสอบผ่านเครือข่าย

4.11.1.1.2. ข้อเสียเล็กน้อยคือข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบจะไม่ละเอียดมาก

4.11.1.1.3. ตัวอย่างซอฟต์แวร์เช่น Nessus และ Retina

4.11.1.2. Host-Based Scanner

4.11.1.2.1. ตรวจสอบความบกพร่องภายในระบบคอมพิวเตอร์ได้โดยละเอียด

4.11.1.2.2. ต้องนำโปรแกรมไปติดตั้งและสแกนในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

4.11.1.2.3. การตรวจสอบระบบในเครือข่ายขนาดใหญ่จะทำได้ยาก

4.11.2. โปรแกรมสแกนช่องโหว่ในระบบ (Vulnerability Scanner)

5. Network Based Firewalls

5.1. 1. 1.Packet filter Firewalls (ต่อ)                                          ในการพิจารณาเฮดเดอร์ Packet Filter จะตรวจสอบในระดับของอินเตอร์เน็ตเลเยอร์ (Internet Layer) และทรานสปอร์ตเลเยอร์ (Transport Layer) ในอินเตอร์เน็ตโมเดล

5.1.1. 1. Packet filter Firewalls                                     Packet Filter                                                          คือเราเตอร์ที่ทำการหาเส้นทางและส่งต่อ(route) อย่างมีเงื่อนไข โดยจะพิจารณาจากข้อมูลส่วนที่อยู่ในเฮดเดอร์ (header) ของแพ็กเก็ตที่ผ่านเข้ามา เทียบกับกฎ (rules) ที่กำหนดไว้และตัดสินว่าควรจะทิ้ง (drop) แพ็กเก็ตนั้นไปหรือว่าจะยอม (accept) ให้แพ็กเก็ตนั้นผ่านไปได้

5.1.2. 2. ในอินเตอร์เน็ตเลเยอร์จะมีแอตทริบิวต์ที่สำคัญต่อ Packet Filtering ดังนี้

5.1.2.1. 1. ไอพีต้นทาง

5.1.2.2. 2. ไอพีปลายทาง

5.1.2.3. 3. ชนิดของโปรโตคอล (TCP UDP และ ICMP)

5.1.3. 3. ในระดับของทรานสปอร์ตเลเยอร์ มีแอตทริบิวต์ที่สำคัญคือ

5.1.3.1. 1. พอร์ตต้นทาง

5.1.3.2. 2. พอร์ตปลายทาง

5.1.3.3. 3. แฟล็ก (Flag ซึ่งจะมีเฉพาะในเฮดเดอร์ของแพ็กเก็ต TCP)

5.1.3.4. 4. ชนิดของ ICMP message (ในแพ็กเก็ต ICMP)

5.1.4. 4. ข้อดี

5.1.4.1. 1. ไม่ขึ้นกับแอพพลิเคชัน

5.1.4.2. 2. มีความเร็วสูง

5.1.4.3. 3. รองรับการขยายตัวได้ดี

5.1.5. 5. ข้อเสีย

5.1.5.1. 1. บางโปรโตคอลไม่เหมาะสมกับการใช้ Packet Filtering เช่น FTP, ICQ

5.1.6. 6. Packet filter Firewalls (ต่อ)                                      Packet Filtering สามารถได้จาก 2 แพล็ตฟอร์ม คือ

5.1.6.1. 1. เราเตอร์ที่มีความสามารถในการทำ Packet Filtering (ซึ่งมีในเราเตอร์ส่วนใหญ่อยู่แล้ว)

5.1.6.2. 2. คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นเราเตอร์

5.1.6.3. 3. เราเตอร์

5.1.6.3.1. 1. ข้อดี

5.1.6.3.2. 2. ข้อเสีย

5.1.6.4. 4. คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็นเราเตอร์

5.1.6.4.1. 1. ข้อดี

5.1.6.4.2. 2. ข้อเสีย

5.2. 2. 2.Stateful Inspection

5.2.1. 1. เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มเข้าไปใน Packet Filtering โดยในการพิจารณาว่าจะยอมให้แพ็กเก็ตผ่านไปนั้น แทนที่จะดูข้อมูลจากเฮดเดอร์เพียงอย่างเดียว

5.2.2. 2. Stateful Inspection จะนำเอาส่วนข้อมูลของแพ็กเก็ต (message content) และข้อมูลที่ได้จากแพ็กเก็ตก่อนหน้านี้ที่ได้ทำการบันทึกเอาไว้ นำมาพิจารณาด้วย จึงทำให้สามารถระบุได้ว่าแพ็กเก็ตใดเป็นแพ็กเก็ตที่ติดต่อเข้ามาใหม่ หรือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อที่มีอยู่แล้ว

5.2.3. 3. ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทางการค้าที่ใช้ Stateful Inspection Technology ได้แก่

5.2.3.1. 1. Check Point Firewall-1

5.2.3.2. 2. Cisco Secure Pix Firewall

5.2.3.3. 3. SunScreen Secure Net

5.2.3.4. 4. และส่วนที่เป็น open source แจกฟรี ได้แก่

5.2.3.5. 5. NetFilter ใน Linux (iptables ในลีนุกซ์เคอร์เนล 2.3 เป็นต้นไป)

5.3. 3. Proxy Service

5.3.1. 1. Proxy หรือ Application Gateway เป็นแอพพลิเคชันโปรแกรมที่ทำงานอยู่บนไฟร์วอลล์ที่ตั้งอยู่ระหว่างเน็ตเวิร์ก 2 เน็ตเวิร์ก ทำหน้าที่เพิ่มความปลอดภัยของระบบเน็ตเวิร์กโดยการควบคุมการเชื่อมต่อระหว่างเน็ตเวิร์กภายในและภายนอก Proxy จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากเนื่องจากมีการตรวจสอบข้อมูลถึงในระดับของแอพพลิเคชันเลเยอร์ (Application Layer

5.3.2. 2. การทำงานของ Proxy

5.3.2.1. 1. เมื่อไคลเอนต์ต้องการใช้เซอร์วิสภายนอก ไคลเอนต์จะทำการติดต่อไปยัง Proxy ก่อน

5.3.2.2. 2. ไคลเอนต์จะเจรจา (negotiate) กับ Proxy เพื่อให้ Proxy ติดต่อไปยังเครื่องปลายทางให้

5.3.2.3. 3. เมื่อ Proxy ติดต่อไปยังเครื่องปลายทางให้แล้วจะมีการเชื่อมต่อ 2 การเชื่อมต่อ คือ

5.3.2.3.1. 1. ไคลเอนต์กับ Proxy

5.3.2.3.2. 2. Proxy กับเครื่องปลายทาง

5.3.3. 3. Proxy จะทำหน้าที่ในการตัดสินใจว่าจะให้มีการเชื่อมต่อกันหรือไม่ จะส่งต่อแพ็กเก็ตให้หรือไม่

5.3.4. 4. ข้อดี

5.3.4.1. 1. มีความปลอดภัยสูง

5.3.4.2. 2. รู้จักข้อมูลในระดับแอพพลิเคชัน

5.3.5. 5. ข้อเสีย

5.3.5.1. 1. ประสิทธิภาพต่ำ

5.3.5.2. 2. แต่ละบริการมักจะต้องการโปรเซสของตนเอง

5.3.5.3. 3. สามารถขยายตัวได้ยาก

6. Intrusion Detection System

6.1. 1. IDS (Intrusion Detection System)                                                                  หมายถึงฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่ติดตามตรวจสอบสัญญาณจราจร (Traffic) ที่ส่งผ่านบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ด้วยการวิเคราะห์รูปแบบ พฤติกรรมในแพ็กเก็ตข้อมูล (Packet Data) เพื่อค้นหาสิ่งที่ผิดปกติ(Anomaly) แล้วนำเข้าสู่กระบวนการทำนาย (Prediction) เพื่อตัดสินว่าเป็นเหตุการณ์บุกรุกจริงแล้วแจ้งเตือน (Alert) ให้ผู้รับผิดชอบระบบทราบเพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขต่อไป

6.2. 2. Intrusion Detection System Architecture
- ระบบตรวจหาการบุกรุกบนเครือข่าย (Network-based IDSs)

6.2.1. 1. จะทำงานในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ด้วยการติดตามตรวจสอบสัญญาณจราจร (Traffic) ที่อยู่ในรูปของแพ็กเก็ตข้อมูลเพื่อตรวจสอบว่าแพ็กเก็ตใดมีลักษณะที่ผิดปกติ

6.3. 3. Intrusion Detection System Architecture
- ระบบตรวจหาการบุกรุกบนครื่องคอมพิวเตอร์ (Host-based IDSs)

6.3.1. 1. จะทำงานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ด้วยการติดตามตรวจสอบสัญญาณจราจร (Traffic) ที่อยู่ในรูปของแพ็กเก็ตข้อมูลและตรวจสอบการใช้งานโปรแกรมประยุกต์ (Application) ในเครื่องคอมพิวเตอร์จากไฟล์บันทึกข้อมูลการใช้(Log File) เพื่อตรวจสอบว่าแพ็กเก็ตใดมีลักษณะที่ผิดปกติ

6.4. 4. หลักการทำงานของระบบตรวจหาการบุกรุก

6.4.1. 1. การตรวจหาการใช้งานที่ผิด (Misuse Detection)หรือ (Signature-based) เป็นการตรวจหารูปแบบการบุกรุกด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่าย โดยการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เข้ามาในเครือข่าย ณ เวลาขณะน้ันกับพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เป็นการบุกรุกซึ่งจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลระบบ

6.4.1.1. 1. Pattern Matching เป็นการเปรียบเทียบแพ็กเก็ตของซิกเนเจอร์

6.4.1.2. 2. Stateful Matching เป็นการเปรียบเทียนรูปแบบของกิจกรรมทั่วไป

6.4.2. 2. การตรวจหาเหตุการณ์ผิดปกติ (Anomaly-based Detection) เป็นการตรวจหารูปแบบการบุกรุก ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่าย โดยการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เข้ามาในเครือข่าย ณ เวลาขณะน้ันกับพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เป็นการบุกรุกซึ่งจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลระบบ

6.4.2.1. 1. การตรวจหาความผิดปกติด้วยสถิติ (Statistical Anomaly-Based)

6.4.2.2. 2. การตรวจหาความผิดปกติด้วยโพรโตคอล (Protocol Anomaly-Based)

6.4.2.3. 3. การตรวจหาความผิดปกติด้วยสัญญาณจราจร(Traffic Anomaly-Based)

6.4.3. 3. การวัดตามกฎ (Rule-based Measure) เป็นวิธีการวัดโดยกำหนดพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ปกติเป็นกฎไว้ แล้วนำ พฤติกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในเครือข่าย ณ เวลาในขณะน้ัน มาเปรียบเทียบกับกฎ หากไม่ตรงกันแสดงว่าเป็นรูปแบบการโจมตีเช่น ใช้กฎพื้นฐาน IF/THEN ของการเขียนโปรแกรมในระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) ใช้การอนุญาตของระบบผู้เชี่ยวชาญสำหรับคุณลักษณะของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)กฎระเบียบที่ซับซ้อนมากขึ้น อุปสงค์มากขึ้นจากความต้องการการประมวลผลของเครื่องและโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์และไม่สามารถตรวจสอบการโจมตีแบบใหม่ได้

6.5. 5. การวิเคราะห์รูปแบบการโจมตีของระบบตรวจหาการบุกรุก
 ( Attack Analysis of IDS)

6.5.1. 1. การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) จะต้องมีการจับแพ็กเก็ตข้อมูล (Capture Packets) ทั้งหมดซึ่งโดยปกติแล้วขนาดของ Ethernet Packet สามารถมีขนาดได้ถึง1500 bytes เพราะฉะน้ันจำเป็นต้องมีพื้นที่ว่างในฮาร์ดดิสก์(Disk Space) และหน่วยประมวลผล (CPU Time) ในการประมวลผลข้อมูลดังกล่าวที่เหมาะสม

6.5.1.1. 1. ข้อดีของการวิเคราะห์เนื้อหาคือง่าย รวดเร็วและเป็นการตรวจหาในเวลาจริง(Real-Time Detection) มากกว่า

6.5.1.2. 2. ข้อเสียคือโอกาสของความผิดพลาดในการแจ้งเตือนนั้นสูงกว่าและต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการประมวลผลและจัดเก็บในการทำงานที่สูงมาก

6.5.2. 2. การวิเคราะห์สัญญาณจราจร (Traffic Analysis) เป็นการแปลความหมายจากรูปแบบ(Patterns) ในส่วนหัวของแพ็กเก็ต (Packet Header) ซึ่งจะแสดงถึงความผิดปกติของเครือข่าย เพราะฉะน้ันจึงมีความจำเป็นที่ผุ้วิเคราะห์จะต้องมีความรู้และทักษะในการแปลความหมายจากข้อมูลดังกล่าว เนื่องจากวิเคราะห์จะดูเฉพาะส่วนที่เป็นส่วนหัวของแพ็กเก็ต ฉะน้ันจึงมีการจับเฉพาะส่วนหัวของข้อมูล โดยปกติแล้วส่วนหัวที่จะต้องจับจะมีขนาดประมาณ 68 byte และหากต้องการความถูกต้องในการวิเคราะห์จึงจำเป็นต้องมีการจับทุก ๆ ส่วนหัวที่ผ่านในเครือข่าย

6.5.2.1. 1. ข้อดีของการวิเคราะห์สัญญาณจราจร คือความถูกต้องของการแปลความหมายของข้อมูล

6.5.2.2. 2. ข้อเสียคือ ผู้วิเคราะห์จะต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีและในการประมวลผลจะไม่สามารถเป็นแบบเชิงเวลาจริงได้

6.6. 6. การติดตั้งระบบตรวจหาการบุกรุก

6.6.1. 1. การใช้ฮับวางระหว่างสวิตช์กับเราเตอร์ แล้วเชื่อมต่อระบบตรวจหาการบุกรุกเข้ากับฮับ

6.6.2. 2. การทำพอร์ตมิลเรอริ่งคือการใช้คุณสมบัติของสวิตช์ในการส่งต่อทุก ๆ แพ็กเก็ตที่รับจากพอร์ตที่ต่ออยู่กับเราเตอร์ไปยังอีกพอร์ตหนึ่งที่ต่ออยู่กับระบบตรวจหาการบุกรุกเป็นผลให้ระบบตรวจหาการบุกรุกสามารถตรวจจับทุกแพ็กเก็ตที่ส่งถึงกันระหว่างเราเตอร์และไฟร์วอลล์ได้

6.6.3. 3. การใช้แท็พซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายฮับแต่มีคุณสมบัติที่ทนต่อข้อผิดพลาดและไม่มีผลกระทบต่อการไหลของtraffic ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลง และสามารถตรวจจับแพ็กเก็ตได้ทุกแพ็กเก็ต

6.7. 7. ซอฟต์แวร์ที่นิยมใช้ในการตรวจหาการบุกรุก

6.7.1. 1. Snort เป็นซอฟต์แวร์ที่อยู่ในกลุ่ม Network Intrusion Detection System (NIDS)

6.7.2. 2. Tcpdump เป็ นซอฟต์แวร์ในกลุ่ม Network Analyzer

6.7.3. 3. Ethereal

6.7.4. 4. Sniffit เป็นซอฟต์แวร์ดักจับแพ็กเกต