
1. ผู้เขียน
1.1. ฟิลิป ฟิชเชอร์ (Philip Fisher)
1.1.1. เขียนหนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits
1.1.2. เป็นนักลงทุนอเมริกันที่มีชื่อเสียงด้านการลงทุน แนวเน้นคุณค่า (Value Investing)
1.1.3. มีอิทธิพลต่อแนวทางลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกปัจจุบัน
1.1.4. ฟิลิปเสียชีวิตไปแล้ว แต่ปัจจุบันลูกชาย Ken Fisher ได้สืบทอดทรัพย์สิน $4.6 พันล้าน
2. ข้อคิดสำคัญ
2.1. การเลือกหุ้นที่ดีคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
2.1.1. ฟิลิป ฟิชเชอร์ มี Checklist 15 ข้อสำหรับหุ้นที่ดี ไปดูได้ในเนื้อหาทางขวาเลย!
2.2. เมื่อคุณเลือกหุ้นที่ดีได้ ให้ซื้อแล้วถือไปเลยยาวๆ ราคาจะขึ้นมาเอง
2.3. ผู้บริหารสำคัญมาก อย่าซื้อหุ้นที่ผู้บริหารขี้โกงเด็ดขาด
2.4. อย่าเป็นนักลงทุนห้องแอร์ที่ดูแต่งบการเงิน ให้หาข้อมูลธุรกิจจากการลงพื้นที่จริงด้วย
2.5. เงินปันผลไม่สำคัญ เพราะถ้าบริษัทเอาเงินนั้นไปขยายธุรกิจ ราคาหุ้นจะขึ้นสูงกว่ามาก
2.6. คนปกติไม่มีเวลาดูหุ้นทุกตัวในโลก เราจึงต้อง screen หุ้นให้เหลือน้อยลงก่อนดูละเอียด
2.7. เตรียมใจลงทุนผิดพลาด เพราะไม่มีนักลงทุนคนไหนที่ไม่เคยพลาดเลย
3. หลักการลงทุนสไตล์ Fisher
3.1. ซื้อหุ้นตัวเล็กที่เติบโตต่อเนื่อง
3.2. เลือกเฉพาะหุ้นที่ดีที่สุดจำนวนไม่มาก
3.3. ซื้อเฉพาะหุ้นธุรกิจที่คุณเข้าใจเท่านั้น
3.4. ซื้อแล้วถือยาว ไม่ต้องขาย
4. Checklist คัดเลือกหุ้น
4.1. บริษัททำธุรกิจในตลาดที่กำลังขยายตัว
4.2. ผู้บริหารต้องขยันสร้างสินค้า/บริการใหม่ๆ ออกมา
4.3. ต้องมีการวิจัยและพัฒนา (R&D)
4.4. มีทีมขายชั้นยอด
4.5. บริษัทมี Profit Margin สูง
4.5.1. Profit Margin คือสัดส่วนกำไรต่อยอดขาย ยิ่งสูงยิ่งดี เพราะแสดงว่าขายของแล้วเหลือกำไรเยอะ
4.5.2. เช่น ถ้าขายกาแฟ 200 บาท โดยมีต้นทุน 80 บาท แสดงว่ากำไร = 120 บาท และ Profit Margin = 120/200 = 60%
4.6. บริษัทรักษา Profit Margin ที่สูงไว้ได้
4.7. พนักงานมีความสุข
4.7.1. ถ้าพนักงานไม่มีความสุข ก็เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด
4.7.1.1. หนังสือพิมพ์ New York Times เรียกเฮนรี่ ฟอร์ด ว่า "บ้า" เมื่อเขาเพิ่มค่าแรงพนักงานขึ้น 2 เท่า และลดเวลาทำงานลงจาก 9 เป็น 8 ชั่วโมง
4.7.1.1.1. แต่บริษัทกำไรสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพราะพนักงานตั้งใจทำงานขึ้นมาก
4.8. ทีมผู้บริหารมีความสุข
4.8.1. ผู้บริหารคือคนที่กำหนดชะตาชีวิตของบริษัท ถ้าพวกเขาไม่มีความสุข บริษัทก็เดินหน้าไม่ได้
4.9. มีการสร้างทีมบริหารที่แข็งแกร่ง
4.9.1. บริษัทเจ้าของคนเดียวมีข้อจำกัด ในที่สุดบริษัทจะโตได้ระดับหนึ่งแล้วประสบปัญหา
4.10. มีระบบวิเคราะห์ต้นทุนที่ดี
4.10.1. พอคุณรู้ต้นทุน คุณจะรู้ว่าควรขยายธุรกิจแบบไหน หรือลดต้นทุนอย่างไร
4.10.2. เช่น เอา Big Data มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล (บิงโกมีสรุป Big Data ไว้แล้ว ตามไปดูได้ในลิงก์เลย)
4.10.2.1. Big Data คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับชีวิตเรา? - สำนักพิมพ์บิงโก
4.11. มีวิธีทำธุรกิจที่พิเศษกว่าคู่แข่ง
4.11.1. เป็นร้านค้าที่มีระบบโลจิสติกส์เหนือชั้น
4.11.2. เป็นร้านอาหารที่เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่คู่แข่งไม่มี
4.12. ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ มองไกล
4.13. มีเงินทุนหนา กระแสเงินสดเยอะ
4.14. ผู้บริหารสื่อสารทั้งข่าวดีและข่าวร้าย
4.14.1. ไม่ใช่ว่า กำไรโตก็ประกาศดัง แต่พอขาดทุนกลับเงียบ
4.15. ผู้บริหารซื่อสัตย์จริงใจ
4.15.1. สำคัญมาก
5. หาหุ้นแบบลงพื้นที่จริง
5.1. สรุปในภาพเดียว
5.2. หลักการ
5.2.1. หาข้อมูลจากการพูดคุยกับคนที่รู้จักธุรกิจจริง
5.2.1.1. ลูกค้า
5.2.1.2. คู่ค้าของบริษัท
5.2.1.3. ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจนั้น
5.2.1.4. อดีตพนักงาน
5.3. แนวทางใช้จริง
5.3.1. พูดคุยกับบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมที่คุณสนใจ ถามเขาว่าคิดยังไงบ้างกับบริษัทคู่แข่ง
5.3.2. ติดต่อคนต่างๆ ที่คุณพอหาได้ทาง LinkedIn แล้วขอพูดคุยด้วย
5.3.3. เข้าไปดูในร้านค้าจริงเลย ว่าธุรกิจของบริษัทนั้นเป็นยังไง
5.3.3.1. การเดินดูสินค้าต่างๆ ในห้างสรรพสินค้า เป็นแนวทางที่ดีมาก
6. แนวคิดสวนกระแส
6.1. เงินปันผลไม่สำคัญ
6.1.1. คนส่วนใหญ่ชอบบริษัทที่จ่ายเงินปันผล
6.1.2. แต่ที่จริงเงินปันผลเป็นแค่การย้ายเงินจากบริษัท (ที่คุณเป็นเจ้าของ) เข้ากระเป๋าคุณเท่านั้น
6.1.2.1. ถึงเงินนั้นจะอยู่ในบริษัทต่อ มันก็ยังเป็นของคุณ เพราะคุณเป็นผู้ถือหุ้น
6.1.3. บริษัทควรเอาเงินไปขยายธุรกิจแทนที่จะจ่ายปันผล พอบริษัทโตขึ้น ราคาหุ้นจะสูงขึ้นกว่าเงินปันผลอีก
6.1.3.1. เช่น
6.1.3.1.1. พัฒนาสินค้าตัวใหม่
6.1.3.1.2. ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
6.1.3.1.3. หาลูกค้าเพิ่ม
6.1.3.1.4. ซื้อกิจการบริษัทอื่น
6.1.3.2. บริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่เคยจ่ายเงินปันผลเลย นั่นทำให้บริษัทมีเงินไปลงทุน ราคาหุ้นจึงเพิ่มสูงขึ้น 2,850,000% ในระหว่างปี 1965-2020
6.1.3.2.1. เงินลงทุน 10,000 บาท จะกลายเป็น 285,000,000 บาท โดยคุณไม่ต้องทำอะไรเลย
6.2. การกระจายความเสี่ยงสำคัญ แต่ไม่ควรกระจายมากไป
6.2.1. กระจายความเสี่ยงนิดหน่อย พอให้ไม่หมดตัวจากหุ้นตัวเดียว
6.2.2. อย่าซื้อหุ้นหลายตัวเกินไป มันจะดึงเงินออกจากหุ้นตัวที่ดีที่สุด ไปยังหุ้นชั้นสองที่คุณภาพด้อยลง
6.2.3. คนปกติไม่มีเวลาดูหุ้นเยอะแยะหรอก ให้ซื้อหุ้นเฉพาะเท่าที่คุณหาข้อมูลไหว
6.2.3.1. มีหุ้น 5 ตัวที่คุณมั่นใจ ดีกว่ามี 30 ตัวที่คุณจำไม่ได้ว่าทำธุรกิจอะไร
6.2.4. เวลากระจายความเสี่ยง อย่าซื้อหุ้นที่ทำธุรกิจเดียวกัน
6.2.4.1. สมมติธนาคารล้มทั้งวงการ ต่อให้คุณถือหุ้นธนาคารสัก 10 ตัวก็ไม่รอด
6.2.5. หุ้นบางตัวมีธุรกิจย่อยหลายอย่าง ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัวอยู่แล้ว
6.2.5.1. วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) ถือหุ้นตัวเดียวมาเกือบ 60 ปีแล้ว นั่นคือหุ้น Berkshire Hathaway
6.2.5.1.1. แต่หุ้นตัวเดียวนั่นกระจายความเสี่ยงพอแล้ว เพราะ Berkshire มีบริษัทลูกหลายร้อยบริษัท
7. ขั้นตอนคัดกรองหุ้น จาก 500 เหลือ 3 ตัวที่ดีที่สุด
7.1. หุ้นในโลกมีเยอะเกินที่คนคนหนึ่งจะดู คุณต้อง screen ก่อนจะลงมือหาข้อมูลเชิงลึก
7.1.1. ถ้าหาข้อมูลโดยไม่ screen ก่อน คุณไม่มีทางดูทั้งหมดไหว
7.2. วิธีลงมือ screen หุ้น
7.2.1. หาชื่อหุ้น 250 จากเพื่อนนักลงทุน
7.2.1.1. คุณสามารถหาหุ้นไทยดีๆ ได้จากเว็บบอร์ด https://board.thaivi.org
7.2.1.2. สำหรับหุ้นต่างประเทศ บิงโกแนะนำ https://seekingalpha.com และ https://www.etoro.com
7.2.2. กรองให้เหลือ 50 ตัว โดยดูจากทรัพย์สิน หนี้สิน กำไร และ profit margin
7.2.3. กรองให้เหลือ 2-3 ตัวที่จะซื้อ โดยใช้ Checklist 15 ข้อ
7.2.3.1. ดู Checklist ได้ด้านบน
7.2.4. ก่อนซื้อจริง ไปพูดคุยกับผู้บริหารก่อน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริหารเป็นคนดีมีความสามารถ
7.3. ความคิดเห็นของบิงโก
7.3.1. เราสามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วย screen หุ้นได้ โดยเข้าเว็บ screen หุ้น แล้วใส่เงื่อนไขต่างๆ ลงไป
7.3.1.1. กำไรโตอย่างน้อยปีละ xx%
7.3.1.2. สัดส่วนหนี้สินต่อทุน < x เท่า
7.3.1.3. ROE อย่างน้อย xx%
7.3.1.4. P/E ไม่เกิน xx
7.3.1.5. และเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่คุณชอบเลย!
7.3.2. การใช้โปรแกรมคัดกรองหุ้นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะได้บริษัทที่ดีมาเสมอ เราต้องมาดูต่ออีกทีด้วย
7.3.3. ลองดูเว็บ https://th.investing.com/stock-screener