1. The Plague Doctor
1.1. หมอรักษาโรคระบาด
1.2. ไม่ใช่หมอจริง ๆ แต่เป็นคนที่มาดูแลก่อนและหลังตาย
1.3. มีการคิดชุดขึ้นมา มีหน้ากากใส่เครื่องหอมเพื่อป้องกันโรค
1.4. ไม่สัมผัสผู้ป่วย ใช้ไม้เขี่ยเท่านั้น
1.5. ภายหลังเป็นสัญลักษณ์เทวทูตแห่งความตาย
1.6. วิธีการรักษา
1.6.1. ใช้สมุนไพรต้มทาตัว เช่น หัวหอม งู นกพิราบ
1.6.2. ทาด้วยเกลือ สารหนู น้ำส้มสายชู
1.6.3. เอาไก่เป็น ๆ มานวดตัว
1.6.4. กรีดหนองแล้วทาด้วยสมุนไพรผสมอุจาระ
1.6.5. อาบปัสสาวะ
1.6.6. นั่งกลางวงล้อมไฟ
1.6.7. ฆ่ายิว
2. มาตราการ
2.1. เมืองต่าง ๆ ในอิตาลีมีการล็อคดาวน์ ห้ามเข้าออก
2.2. เมืองท่าต่าง ๆ พ่อค้าที่มาจากเมืองเสี่ยงต้องถูกกักตัว
2.3. ขุนนางอพบพย้ายที่อยู่ชั่วคราวไปเมืองที่ไม่มีโรค
2.4. Milan, Poland เป็นตัวอย่างเมืองที่ประสบความสำเร็จในการจัดการกับโรค
2.4.1. Milan
2.4.1.1. กักตัวผู้ติดโรคและผู้สัมผัสคนป่วย ออกใบผ่านให้คนที่หมอตรวจแล้วว่าปลอดภัย
2.4.2. Poland
2.4.2.1. ล็อคดาวน์
3. มุมมองชาวคริสต์
3.1. เป็นการลงโทษของพระเจ้า มีบางคนที่จะได้รับเลือกให้รอดชีวิต เหมือนโนอาห์
3.2. มีทางเดียวที่จะรักษาได้คือพระเจ้าให้อภัย
3.3. มีความพยายามรักษาตนเองด้วยการสวดมนต์ เฆี่ยนตีตนเอง
4. การใช้ชีวิตช่วงโรคระบาด
4.1. 1. แยกกลุ่มต่างหาก อยู่เฉพาะคนไม่ติดโรค ไม่ยุ่งกับโลกภายนอก
4.2. 2. ใช้ชีวิตสนุกสนานเหมือนเป็นวันสุดท้าย เลี่ยงสัมผัสผู้ป่วย ไม่พูดถึงโรค
4.3. 3. เป็นการใช้ชีวิตแบบระหว่าง 2 กลุ่มแรก ดื่มกินพอดี เลี่ยงคนป่วย ถือดอกไม้สมุนไพรสูดดมตลอดเวลา
4.4. 4. ทิ้งบ้าน ทิ้งทุกอย่าง หนีไปเมืองอื่น
4.5. พิธีศพ
4.5.1. ไม่มีคนเหลือทำหน้าที่ ศพจำนวนมากถูกทิ้งไว้ ตายตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น
5. ผลกระทบ
5.1. สังคม
5.1.1. สถาบันครอบครัวเสื่อมสลาย
5.1.2. พิธีกรรมต่าง ๆ หายไป
5.1.3. การปกครองท้องถิ่นถูกทำลาย
5.1.4. ไร่นา ปศุสัตว์ บ้านถูกทิ้งร้าง
5.2. ฟิวดัล
5.2.1. แรงงานล้มตาย ขุนนางขาดแรงงาน
5.2.2. หลังโรคระบาด มีการชักชวนคนงานกลับมา แต่ต้องจ่ายค่าแรงสูงขึ้น 3-4 เท่า
5.2.3. ระบบฟิวดัลอ่อนแอลง
5.2.4. ช่างฝีมือหายาก ซ่อมแซมสิ่งต่าง ๆ ได้ยาก
5.3. ยุคกลาง
5.3.1. แรงงานประชาการลดลง, ค่าแรงเพิ่ม, ฟิวดัลอ่อนแอ
5.3.2. ขนาดเมืองต่าง ๆ ลดลง เกิดการโยกย้าย
5.3.3. มีการสร้างโรงพยาบาลมากขึ้น จำนวนหมอลดลง
5.3.4. รัฐอ่อนแอลง ศาสนาเข้มแข็งขึ้น
5.3.5. สินค้าหลายอย่างขาดแคลน เช่น ผ้าวูล
5.3.6. รัฐออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหา และนำไปสู่การเกิดกบฎชาวนาสมัยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3
6. ชีวิตหลัง Black Death
6.1. ผู้หญิงถูกบังคับให้แต่งงานเร็วขึ้น เพื่อเพิ่มแรงงาน
6.2. ชนชั้นล่างมีอาหารดี ๆ มากขึ้น เช่น ขนมปังขาว เนื้อแกะ
6.3. คู่หนุ่มสาวแต่งงาน แยกตัวออกไป ย้ายจากครอบครัวไปเมืองอื่นมากขึ้น
6.4. โรคระบาดกลับมาอีกหลายครั้งทุก ๆ 10-20 ปี ในช่วงศ.14-17 แต่สเกลเล็กลง
7. สาเหตุของ Black Death
7.1. คาดว่าเริ่มในจีนหรือเอเชียกลางและแพร่ ตามเส้นทางสายไหมถึงไครเมียช่วง 1346
7.1.1. มีหมัดหนูเป็นตัวแพร่เชื้อ โดยติดกับตัวหนู ที่อยู่ใต้ท้องสำเภาซึ่งเดินทางไปค้าขายที่ดินแดนต่างๆ
8. ความหมายของ Black Death
8.1. "กาฬมรณะ" (1346-1353) "The Great Plague" โรคระบาดทั่วยุโรปที่ก่อความเสียหายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
8.1.1. ผู้เสียชีวิตประมาณ 75-100 ล้านคน พีคสุดช่วงปี 1348-1350
9. อาการของ Black Death
9.1. มีก้อนบวมเท่าไข่ไก่/ผลส้มแถวต่อมน้ำเหลือง
9.2. แผลพุพอง ผิวหนังช้ำ
9.3. ไข้ หนาวสั่น ปวดหัวรุนแรง เหงื่อออก ท้องเสีย
9.4. เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ไอเป็นเลือดและเสมหะ (บางกรณ๊)
9.5. ไม่มีแรง เลือดไหลไม่หยุด
9.6. หมดสติ เพ้อ
10. EU Pandemic
10.1. เริ่มจาก จีน อินเดีย อียิปต์ เปอร์เซีย ซีเรีย และอีสตันบูล
10.2. ไม่รู้สาเหตุ แต่โรคเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางการค้า
10.3. ตุลา 1347 เรือสินค้าที่อพยพจาก Caffa มา Messina เมื่อเทียบท่า ลูกเรือทุกคนติดเชื้อไม่ก็เสียชีวิตแล้ว
10.4. เมืองท่าคือจุดรวมของคนจากหลากหลายที่
10.4.1. ระบาดต่อไปยัง Genoa, Venice และเมืองแถบทะเล Mediterranean
10.4.2. 1348 ระบาดไปยัง Castille, Aragon, France, England, Bavaria ไปยัง Scandinavian ช่วง 1345-1350 และถึงรัสเซีย 1351
10.4.3. เมืองที่โรคไปไม่ถึง คือ Poland, Hungary, Milan และพวกที่เป็นเกาะ
10.4.4. อิตาลีโดนจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะเป็นเมืองท่า เมืองอื่นจึงรู้ข่าวได้จากการแพร่ระบาดในอิตาลี