
1. บิงโกปูพื้นฐานสำหรับมือใหม่
1.1. Mind Map อันนี้ออกแบบมาสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มลงทุน เราจะได้เข้าใจคอนเซปต์ต่างๆ และเรียนรู้เรื่องที่ลึกขึ้นได้
1.2. คนที่เก่งแล้วสามารถข้ามไปได้เลยครับ
2. ทำไมทุกคนต้องลงทุน
2.1. เงินเฟ้อ
2.1.1. การที่รัฐบาลพิมพ์เงินออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุด ทำให้เงินเสื่อมค่า ข้าวของแพงขึ้นทุกปี แต่เราสังเกตไม่เห็นเพราะมันแพงขึ้นปีละ 1% 2% 3%
2.1.2. ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า "เงินเฟ้อ" ซึ่งปีเดียวเราอาจไม่ทันสังเกต แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะพบว่าข้าวแกงสมัยก่อนจานละ 5 บาท แต่ตอนนี้จานละ 50 บาท
2.1.3. ในอนาคต ข้าวแกงก็จะราคาสูงขึ้นอีก อาจขึ้นเป็นจานละ 500 บาท เป็นต้น
2.2. เงินพอใช้หลังเกษียณ?
2.2.1. เช็คทางนี้ว่าคุณออมเงินฝากธนาคารในอีก 35 ปีข้างหน้า แล้วพอใช้ไหม
2.2.1.1. เกษียณแล้วจะเอาเงินเก็บมาใช้จ่าย 30 ปี แล้วคิดว่าจะตายพอดีที่ใช้เงินเก็บหมด
2.2.1.1.1. "เงินที่ต้องเก็บต่อเดือน จะมากกว่า "เงินที่อยากใช้หลังเกษียณ" เพราะมีเงินเฟ้อปีละ 2%
2.2.1.1.2. ตัวเลขนี้คือ "ต่อคน" ถ้าครอบครัวมี 2 คนสามีภรรยา ก็ต้องคูณสอง
2.2.1.1.3. ยังไม่นับค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดอื่นๆ
2.2.1.1.4. ถ้าเงินหมดแล้วยังไม่ตาย ตัวใครตัวมัน
2.2.1.2. เกษียณแล้วจะเอาดอกเบี้ยจากเงินฝากมาใช้จ่าย
2.2.1.2.1. ตัวเลขนี้คือ "ต่อคน" ถ้าครอบครัวมี 2 คนสามีภรรยา ก็ต้องคูณสอง
2.2.1.2.2. ยังไม่นับค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดอื่นๆ
2.2.2. An Inconvenient Truth: การออมเงินแล้วฝากธนาคารตามปกติ มักไม่เพียงพอสำหรับการเกษียณ
2.2.3. ถ้าคุณออมเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ การลงทุนจะช่วยเปลี่ยนจาก "ไม่พอ" เป็น "พอ" ได้
2.3. เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างความมั่งคั่ง
2.3.1. มี 3 วิธีหลักที่คุณจะสร้างความมั่งคั่งได้
2.3.1.1. ทำธุรกิจ
2.3.1.2. ลงทุนหุ้น
2.3.1.3. ลงทุนอสังหาริมทรัพย์
2.3.2. ถ้าคุณไม่ได้อยากทำธุรกิจ วิธีสร้างความมั่งคั่งก็คือลงทุน (หุ้น/อสังหา)
2.4. เป็นรายได้แหล่งที่สอง
2.4.1. ถ้าคุณมีรายได้จากงานประจำอย่างเดียว คุณมีความเสี่ยงที่จะต้องออกจากงาน และไม่มีรายได้เลย
2.4.2. ถ้าคุณมีรายได้จากหุ้นปันผล หรือค่าเช่าอสังหา ชีวิตคุณจะปลอดภัยขึ้นมาก
2.5. ใช้เวลาไม่มาก
2.5.1. นักลงทุนหลายคนทำงานประจำไปด้วย ลงทุนไปด้วย และยังมีเวลาใช้ชีวิตและท่องเที่ยวอย่างมีความสุข
2.6. คุณไม่ควรเอาชีวิตไปฝากกับนักการเมือง
2.6.1. การลงทุนคือการบริหารเงินของตัวเอง ดังนั้นถ้าคุณไม่ลงทุน คุณก็จะต้องพึ่งพารัฐบาล (เงินบำนาญ ประกันสังคม) ในการเลี้ยงดูตัวเองในอนาคต
2.6.2. ในปัจจุบัน กองทุนบำนาญทั่วโลกต่างประสบปัญหาไม่มีเงิน เพราะคนสูงอายุมีชีวิตยืนยาวขึ้น ใช้เงินเยอะขึ้น แต่คนหนุ่มสาวที่จะส่งเงินเข้ากองทุนกลับน้อยลง
2.6.2.1. บลูมเบิร์ก ชี้ ประกันสังคมไทย เงินส่อหมดใน 15 ปี แถมมีบำนาญแย่ติดอันดับโลก
2.6.3. เรื่องนี้แก้ไขยากและเกี่ยวข้องกับการเมือง ปัญหาจึงถูกซุกไว้ใต้พรม ทุกวันนี้ก็แค่เอาเงินคนหนุ่มสาวไปหมุนให้คนสูงอายุใช้ก่อน เพื่อยื้อเวลาให้ระบบไประเบิดในอนาคต
2.7. คุณจะถูกระบบทุนนิยมทิ้งไว้ข้างหลัง
2.7.1. ในปัจจุบัน รัฐบาลแทบทุกประเทศพิมพ์เงินออกมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยนโยบายพิมพ์เงินนี้ได้กลายเป็น "เรื่องปกติ" ที่จะเกิดขึ้นไปอีกอย่างน้อยอีกหลายสิบปี
2.7.2. ผลก็คือ เงินหมดค่าลงเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าคุณฝากเงินไว้ในธนาคาร เงินคุณจะเสื่อมค่าลงทุกปี จากที่เงิน 100 บาทซื้อบะหมี่ได้ 2 ชาม ในอนาคตมันอาจซื้อลูกอมได้แค่ 2 เม็ด
2.7.3. ทางเดียวที่จะปกป้องเงินของคุณได้คือ "ลงทุนในทรัพย์สินที่ไม่ใช่เงิน" เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้น หรือทองคำ
2.8. คนธรรมดาอย่างฉันจะลงทุนได้จริงเหรอ?
2.8.1. ทำได้ สมัยนี้อินเทอร์เน็ตทำให้เรา ทุกคนเข้าถึงข้อมูลเท่ากันทั้งโลก กระทั่งนักเรียนมัธยมบางคนยังเริ่มต้นลงทุน และได้กำไรตั้งแต่ปีแรก
3. รู้จักโลกการลงทุน
3.1. การลงทุนคืออะไร?
3.1.1. เราเอาเงินไปซื้อทรัพย์สิน แล้วก็ปล่อยไว้เฉยๆ เงินก้อนนั้นจะไปหาเพื่อนมาเพิ่ม เราจึงมีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
3.2. ยังมีหนี้อยู่ ควรลงทุนไหม หรือควรชำระหนี้ก่อน?
3.2.1. ถ้าหนี้นั้นมีดอกเบี้ยสูงเกิน 10% ต่อปี คุณควรหาทางใช้หนี้ก้อนนั้นให้หมดก่อน
3.2.2. คุณไม่ควรมีหนี้บัตรเครดิตเลย ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ คุณควรรีบใช้หนี้ให้เร็วที่สุด
3.2.3. ถ้าหนี้นั้นมีดอกเบี้ยต่ำ (เช่น 3%) คุณสามารถเป็นหนี้พร้อมลงทุนได้ แต่ต้องมั่นใจว่าผ่อนไหว
3.3. ออมเงินในประกันอยู่แล้ว แค่นั้นไม่พอเหรอ?
3.3.1. ประกันบางชนิดจะคืนเงินให้คุณหลังเวลาผ่านไป 20 ปี แสดงว่าคุณได้ทั้งประกัน ทั้งเงินคืน จึงเหมือนกับว่าคุณไม่ได้เสียอะไรเลย มีแต่ได้
3.3.2. คนขายประกันจะบอกคุณว่าประกันคือการออม เพื่อให้คุณยอมซื้อประกัน
3.3.3. แต่ที่จริงประกันคือรายจ่าย คุณกำลังจ่ายเงินเพื่อซื้อความปลอดภัย ซึ่งไม่ผิดอะไร แต่รายจ่ายก็คือรายจ่าย คุณไม่ควรนับประกันว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินออม
3.3.4. กระทั่งประกันที่ "อีก 20 ปีคืนเงิน" ก็ยังเป็นรายจ่าย เพราะ...
3.3.4.1. คุณไม่สามารถเอาเงินออกมาก่อน เงินของคุณจะติดอยู่ในนั้นหลายสิบปี โดยคุณควบคุมอะไรไม่ได้เลย
3.3.4.2. เงินที่บริษัทประกันคืนมา ยังไงก็ต้องน้อยกว่าการที่คุณนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนเอง ไม่อย่างนั้นบริษัทประกันจะมีกำไรได้ยังไง
3.3.4.2.1. บ่อยครั้งที่ "แพคเกจประกันเงินออม" เนื้อแท้คือการ "ขายพ่วงประกัน+กองทุน" โดยให้ผลตอบแทนต่ำกว่ากองทุนปกติ เพราะแอบหักค่าใช้จ่ายสำหรับประกันออกไป
3.3.4.2.2. ถ้าคุณขายกาแฟแก้วละ 100 บาทไม่ได้ ก็แค่ขาย 200 บาท แล้วให้เขาออมเงิน "อีก 20 ปีจะคืนให้ 200 บาท"
3.4. ลงทุนในไหนได้บ้าง?
3.4.1. หุ้น
3.4.1.1. หุ้นคือ กระดาษที่แสดงสิทธิ ความเป็นเจ้าของบริษัท
3.4.1.2. ถ้าคุณซื้อหุ้น SCB 1 หุ้น ราคา 70 บาท คุณจะถูกนับเป็นหนึ่งในเจ้าของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย
3.4.1.2.1. ทุกปีผู้บริหารจะต้องส่งรายงานผลประกอบการให้คุณ
3.4.1.2.2. คุณจะได้รับเชิญไปงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ในโรงแรมสุดหรู มีขนมและกาแฟเสิร์ฟ
3.4.1.2.3. คุณสามารถโหวตเพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญได้ เช่น เลือกคณะกรรมการบริษัท
3.4.1.2.4. เมื่อบริษัทมีกำไร ก็จะจ่ายเงินให้ผู้ถือหุ้น ซึ่งคุณก็จะได้ด้วย
3.4.1.3. คุณสามารถซื้อหรือขายหุ้นได้ใน "ตลาดหุ้น" ซึ่งจะมาคนมาซื้อขายหุ้นกันทุกวัน
3.4.1.3.1. ในตลาดหุ้นจะมีเฉพาะหุ้นบางบริษัทให้ซื้อขาย ขึ้นกับว่าบริษัทนั้นได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไหม
3.4.1.4. "ตลาดหุ้น" ไม่เหมือนตลาดสดที่คุณเดินเลือกแครอท ที่จริงตลาดหุ้นเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดให้เราส่งคำสั่งซื้อขาย และมีสาวออฟฟิศขี้เบื่อคอยดูแลระบบ
3.4.1.5. การลงทุนหุ้น ก็คือการที่คุณไปเปิดบัญชีกับบริษัทนายหน้า (โบรคเกอร์) ซึ่งจะเป็นตัวกลางซื้อขายหุ้นแทนคุณ
3.4.1.5.1. คุณสามารถเลือกโบรคเกอร์ได้ที่ https://bit.ly/2W5yV2z หรือเดินไปถามธนาคารใกล้บ้านก็ได้
3.4.1.5.2. ตลาดหุ้นเป็นคนกลาง
3.4.1.6. คุณจะกำไรจากหุ้นได้ 2 ทาง
3.4.1.6.1. ส่วนต่างราคา (Capital Gain)
3.4.1.6.2. เงินปันผล (Dividend)
3.4.1.7. ราคาหุ้นแต่ละตัวจะผันผวนรุนแรง วันหนึ่งอาจขึ้นลง 3% (และ 10-30% ในช่วงที่ผันผวนมาก)
3.4.1.8. ในระยะสั้น ราคาหุ้นจะขึ้นลงตามอารมณ์ ของคนที่ซื้อขายหุ้น แต่ในระยะยาว หุ้นของบริษัทที่ดีจะราคาสูงขึ้น หุ้นของบริษัทที่ย่ำแย่จะราคาต่ำลง
3.4.1.9. เศรษฐกิจไทยเติบโตเกือบทุกปี ดังนั้นถ้าเอาหุ้นทุกตัวมาเฉลี่ยกัน ในระยะยาวราคาหุ้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ (บางปีกำไร บางปีขาดทุน รวมๆ กำไร)
3.4.1.9.1. ผลตอบแทนเฉลี่ย 20 ปีของหุ้นไทยอยู่ที่ 10-12% ต่อปี ในอนาคตก็น่าจะอยู่ที่ 8-10%
3.4.1.9.2. ถ้าคุณซื้อหุ้นทุกตัวเฉลี่ยกัน จะกำไรในระยะยาวแน่นอน แต่ถ้าคุณซื้อแค่ตัวสองตัว ก็ไม่แน่เหมือนกัน
3.4.1.10. เราเรียกค่าเฉลี่ยราคาหุ้นว่า "ดัชนีตลาดหุ้น" ซึ่งสำหรับหุ้นไทย มีชื่อย่อว่า SET
3.4.1.11. คำถามเกี่ยวกับหุ้น...
3.4.1.11.1. จะซื้อหุ้นได้ยังไง?
3.4.1.11.2. ถ้าหุ้นตกเราก็ขาดทุนสิ?
3.4.1.11.3. ถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หุ้นตกทั้งกระดาน เราก็ขาดทุนสิ?
3.4.1.11.4. เคยเห็นคนเล่นหุ้นเขาต้องมีกราฟสีดำ ที่มีแท่งๆ สีเขียวกับแดง มันคืออะไร?
3.4.2. อสังหาริมทรัพย์
3.4.2.1. ซื้อคอนโด บ้าน อพาร์ทเมนท์ แล้วปล่อยเช่า หรือซื้อที่ดินเก็บ รอให้ขึ้นราคา
3.4.2.2. ถ้าคุณซื้ออสังหาปล่อยเช่า หลายคนนิยมกู้เงินมาลงทุน โดยเอาค่าเช่าไปจ่ายค่าผ่อนแบงก์
3.4.2.2.1. ทำแบบนี้จะเพิ่มผลตอบแทนขึ้นหลายเท่า
3.4.2.3. คุณจะกำไรจากอสังหาได้ 2 ทาง
3.4.2.3.1. ส่วนต่างราคา (Capital Gain)
3.4.2.3.2. ค่าเช่า (Rent)
3.4.2.4. ผลตอบแทน 2-25% ต่อปี ขึ้นกับว่าคุณซื้ออสังหาราคาแพงไหม ค่าเช่าเท่าไร และซื้อด้วยเงินกู้ไหม
3.4.2.4.1. ยิ่งกู้ยิ่งรวยเร็ว แต่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะหาคนเช่าไม่ได้
3.4.2.5. คุณสามารถซื้ออสังหาด้วยตัวเอง หรือซื้อผ่าน REIT
3.4.3. REIT (หรีท)
3.4.3.1. REIT ย่อจาก Real Estate Investment Trust ซึ่งยาวจำยาก เขาเลยเรียกกันว่า "หรีท" (REIT)
3.4.3.2. REIT คล้ายหุ้น คุณจะมองว่ามันเป็นหุ้นชนิดหนึ่งก็ได้ โดยเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เก็บค่าเช่า
3.4.3.2.1. REIT เป็นได้ทั้งสนามบิน เสาโทรคมนาคม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ศูนย์แสดงสินค้า คลังเก็บสินค้า โรงแรม หรือศูนย์ประชุม
3.4.3.3. REIT ต่างจากหุ้นตรงโครงสร้างนิติบุคคล
3.4.3.3.1. หุ้นคือสิทธิความเป็นเจ้าของบริษัท
3.4.3.3.2. REIT เป็นนิติบุคคลอีกชนิด ซึ่งมีกฎหมายสำหรับ REIT เป็นของตัวเอง
3.4.3.4. REIT ซื้อขายในตลาดหุ้นเหมือนหุ้น วิธีซื้อก็เหมือนหุ้น คือเปิดบัญชีกับโบรคเกอร์ก่อน
3.4.3.5. REIT เหมาะกับคนที่อยากลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แล้วไม่อยากดูแลเอง ซึ่งก็สามารถซื้อ REIT ที่มีคนดูแลให้เราแทน
3.4.3.5.1. แต่ผลตอบแทนของ REIT จะน้อยกว่าคนที่ลงทุนอสังหาเองแล้วประสบความสำเร็จ
3.4.3.6. ในทางปฏิบัติ แนะนำให้มองว่า REIT ก็คือหุ้น แต่มีลักษณะพิเศษดังนี้
3.4.3.6.1. REIT ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ส่วนหุ้นจะทำธุรกิจอะไรก็ได้
3.4.3.6.2. REIT จ่ายเงินปันผลสูง ราคาขึ้นน้อย เพราะ REIT ถูกบังคับให้นำกำไรมาจ่ายปันผล
3.4.4. พันธบัตร/หุ้นกู้/ตราสารหนี้
3.4.4.1. พันธบัตร หุ้นกู้ ตราสารหนี้ พวกนี้กลุ่มเดียวกัน มันคือการที่คุณให้รัฐบาลหรือบริษัทกู้เงิน และมีการ "รับประกัน" ว่าจะจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ย
3.4.4.1.1. ถึงจะรับประกัน แต่ถ้าเขาไม่มีเงินจ่าย คุณก็ไม่ได้เงินคืนอยู่ดี
3.4.4.1.2. รัฐบาลมีเงินจ่ายเสมอ เพราะเขาพิมพ์เงินเองได้ แต่บริษัทอาจล้มละลายแล้วไม่มีเงินจ่ายคุณ
3.4.4.2. ถ้าคนกู้เป็นรัฐบาล เรียกเอกสารสัญญาว่าพันธบัตร
3.4.4.3. ถ้าคนกู้เป็นบริษัทเอกชน เรียกเอกสารสัญญาว่าหุ้นกู้ (อย่าสับสนกับหุ้น)
3.4.4.4. พันธบัตรเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เพราะมีการรับประกันผลตอบแทน แต่ผลตอบแทนย่อมต่ำกว่าหุ้น
3.4.4.5. ปัจจุบัน รัฐบาลทั่วโลกมีนโยบายจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรต่ำๆ คุณจะได้ดอกเบี้ยน้อยมาก นอกจากนี้ เงินของคุณจะเสื่อมมูลค่า จากการที่รัฐบาลพิมพ์เงินจนล้นระบบเศรษฐกิจ
3.4.4.6. พันธบัตรจะราคาเปลี่ยนน้อย มีโอกาสน้อยที่เราจะขาดทุนจากพันธบัตร หรือถ้าขาดทุนก็ขาดทุนน้อย
3.4.4.6.1. เทียบกับหุ้น ราคาหุ้นจะแกว่งแรง บางปีกำไร บางปีขาดทุน แต่ในระยะยาวเฉลี่ยแล้วกำไร
3.4.4.6.2. ราคาพันธบัตรจะนิ่งๆ แทบไม่ขาดทุน แต่ในระยะยาวแทบไม่ได้อะไรกลับมา
3.4.4.7. ซื้อได้ผ่านธนาคาร/ซื้อโดยตรงผ่านบริษัท/ซื้อผ่านหน่วยงานรัฐโดยตรง
3.4.4.7.1. ค่อนข้างยุ่งยากในการซื้อ สามารถซื้อเป็นกองทุนแทนได้
3.4.5. ทองคำ
3.4.5.1. ซื้อทองมาเก็บไว้ แล้วรอราคาขึ้น
3.4.5.2. ทองคำมีฉายาว่า "Safe Haven" เพราะราคาทองจะไม่ตกในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และอาจขึ้นสวนเลยด้วย
3.4.5.3. นักลงทุนบางคนจะมีทองคำไว้ส่วนหนึ่งเสมอ เผื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
3.4.6. ทรัพย์สินเก็งกำไรต่างๆ ซึ่งมีหลากหลายชนิด คุณไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกตัว (ไม่รู้จักเลยยังได้) แต่บิงโกหยิบตัวหลักๆ มาเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่อยากรู้
3.4.6.1. ฟิวเจอร์ (Future)
3.4.6.1.1. ฟิวเจอร์ คือสัญญาเดิมพันระหว่างคนซื้อ A กับคนขาย B ว่าในอนาคตวันที่ xx ราคาทรัพย์สิน y จะเป็นเท่าไร
3.4.6.1.2. เช่น นาย A กับ B เดิมพันกันว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนหน้าจะสูงหรือต่ำกว่า 1200 จุด
3.4.6.1.3. ถ้าสูงกว่า 1200 นาย A ก็จ่ายเงินนาย B แต่ถ้าต่ำกว่า นาย B ก็จ่ายเงินนาย A
3.4.6.2. ออปชั่น (Option)
3.4.6.2.1. ออปชั่น คือ "สิทธิ" ในการซื้อหรือขาย ทรัพย์สิน y ด้วยราคาที่กำหนดล่วงหน้า ในอนาคตวันที่ xx
3.4.6.2.2. คนซื้อออปชั่น A จะจ่ายเงินให้คนขาย B แล้วพอถึงวันที่ xx ก็จะได้สิทธิซื้อหรือขายตามราคาที่ตกลงไว้ล่วงหน้า
3.4.6.2.3. เหมือนการซื้อประกัน โดยเราจ่ายเงินไปก้อนหนึ่งให้คนขายออพชั่น
3.4.6.3. เงินดิจิตอล (Cryptocurrency)
3.4.6.3.1. Cryptocurrency คือสกุลเงินที่อยู่ในโลกออนไลน์ (เหมือนเงินในเกม) โดยทุกคนสามารถสร้างเงินเองได้ หรือไปซื้อเงินที่คนอื่นสร้างไว้แล้วก็ได้
3.4.6.3.2. วิธีสร้าง Cryptocurrency จะใช้ระบบที่เรียกว่า Blockchain ซึ่งเป็นระบบการเขียนโปรแกรมที่ซับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ปลอมแปลงเงินได้
3.4.6.3.3. Cryptocurrency ไม่มีทรัพย์สินหรือสิ่งมีค่าใดรองรับ ราคาจะขึ้นลงเหมือนเงินในเกม นั่นคือ ขึ้นเท่าไรก็ได้ ลงเท่าไรก็ได้
3.4.6.3.4. Cryptocurrency มีหลายสกุล ตัวที่นิยมที่สุดคือ บิทคอยน์ (Bitcoin)
3.4.6.4. Forex
3.4.6.4.1. คือการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ เพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง
3.4.6.4.2. เช่น ใช้เงินบาท 32 แลก 1 ดอลลาร์ จากนั้นค่อยแลก 1 ดอลลาร์กลับเป็น 33 บาท เราจะได้ส่วนต่างกำไร 1 บาท
3.5. กองทุน/กองทุนรวมคืออะไร?
3.5.1. หลายคนอยากลงทุน แต่ไม่อยากศึกษา จึงมีคนรับจ้างบริหารการลงทุนให้เรา แล้วเขาจะเก็บค่าบริหารเล็กน้อย
3.5.2. เราเรียกคนที่มาบริหารเงินให้เราว่า "กองทุนรวม" หรือสั้นๆ ว่า "กองทุน"
3.5.3. แต่ละกองทุน จะบอกเราว่าเขาไปลงทุนในทรัพย์สินอะไร เช่น กองทุนหุ้น ก็ลงทุนหุ้น กองทุนพันธบัตร ก็ลงทุนพันธบัตร
3.6. ความเสี่ยงในการลงทุนแบบต่างๆ
3.6.1. ตามทฤษฎีในตำราการเงิน
3.6.1.1. เงินฝากธนาคาร ไม่เสี่ยง
3.6.1.1.1. เพราะราคาคงที่
3.6.1.2. พันธบัตร/ตราสารหนี้ เสี่ยงน้อย
3.6.1.2.1. เพระราคาขึ้นลงไม่แรงมาก
3.6.1.3. ทองคำ เสี่ยงปานกลาง
3.6.1.3.1. เพระราคาขึ้นลงปานกลาง
3.6.1.4. REIT/อสังหาริมทรัพย์ เสี่ยงมากขึ้น
3.6.1.4.1. เพระราคาขึ้นลงแรงเล็กน้อย
3.6.1.5. หุ้น เสี่ยงมาก
3.6.1.5.1. เพราะราคาขึ้นลงแรง
3.6.1.6. หุ้นต่างประเทศ เสี่ยงที่สุด
3.6.1.6.1. เพราะราคาขึ้นลงแรง และยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
3.6.2. ตามนักลงทุนระดับโลก
3.6.2.1. หุ้นที่มีการกระจายความเสี่ยงมากพอ (ถือหุ้นในหลายธุรกิจ กระจายเกิน 30 ตัว) = เสี่ยงน้อยที่สุด
3.6.2.1.1. ในระยะยาว เศรษฐกิจจะเจริญเติบโต ถ้าคุณถือหุ้น เท่ากับว่าความมั่งคั่งของคุณ จะเจริญไปพร้อมเศรษฐกิจ
3.6.2.1.2. คุณสามารถซื้อกองทุนหุ้นแทนการถือหุ้นหลายตัว เพราะกองทุนจะซื้อหุ้นหลายตัวอยู่แล้ว
3.6.2.2. พันธบัตร/ตราสารหนี้ เสี่ยงน้อย
3.6.2.2.1. คุณมีความเสี่ยงที่รัฐบาลจะพิมพ์เงินออกมามาก จนเกิดเงินเฟ้อระดับที่เงินของคุณเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว
3.6.2.2.2. ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก จึงเสี่ยงน้อยกว่า
3.6.2.3. ทองคำ เสี่ยงปานกลาง
3.6.2.3.1. ทองคำเป็นทรัพย์สินที่จับต้องได้ และไม่เสื่อมค่าตามเงินเฟ้อ มีแนวโน้มราคาสูงขึ้นในระยะยาว
3.6.2.3.2. ข้อเสียคือ เราคาดการณ์ได้ยากว่าราคาจะสูงขึ้นแค่ไหน เพราะไม่มีปัจจัยทางธุรกิจให้วิเคราะห์
3.6.2.4. เงินฝากธนาคาร เสี่ยงมากขึ้น
3.6.2.4.1. "Cash is trash." - เรย์ ดาลิโอ นักลงทุนระดับโลก และผู้เขียนหนังสือขายดี Principles
3.6.2.4.2. คุณมีความเสี่ยงที่รัฐบาลจะพิมพ์เงินออกมามาก จนเกิดเงินเฟ้อระดับที่เงินองคุณเสื่อมค่าลงอย่างรวดเร็ว
3.6.2.5. REIT/อสังหาริมทรัพย์ เสี่ยงมากขึ้น
3.6.2.5.1. เสี่ยงเพราะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงเสมอ แต่ REIT หรืออสังหาริมทรัพย์ มีทรัพย์สินที่จับต้องได้ จึงเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น
3.6.2.6. หุ้น เสี่ยงมาก
3.6.2.6.1. ธรรมชาติของทุนนิยม บางบริษัทที่ไม่ดีจะล้มละลาย และมีบริษัทอื่นที่ดีกว่าขึ้นมาแทน
3.6.2.6.2. คุณอาจพลาด ซื้อหุ้นบริษัทตัวที่ล้มละลาย แทนที่จะไปซื้อหุ้นบริษัทที่ดี
3.6.2.7. หุ้นต่างประเทศ เสี่ยงที่สุด
3.6.2.7.1. คุณลงทุนไกลประเทศของคุณ อาจทำให้คุณตัดสินใจได้แม่นยำน้อยลง กลายเป็นเลือกหุ้นที่ไม่ดีขึ้นมา
3.7. เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน
3.7.1. หุ้น > อสังหาริมทรัพย์ > ทองคำ > ตราสารหนี้ > เงินฝากธนาคาร
3.7.2. เปรียบเทียบการลงทุน
3.8. เริ่มต้นลงทุนยังไง?
3.8.1. วางแผนก่อนว่าจะลงทุนในทรัพย์สินอะไร เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์
3.8.1.1. และวางแผนก่อนว่าจะลงทุนในสัดส่วนไหน
3.8.1.2. เรย์ ดาลิโอ นักลงทุนระดับโลกและผู้เขียนหนังสือ Principles เสนอว่าควรซื้อ หุ้น 30% พันธบัตร 55% ทองคำ 15%
3.8.1.3. คนที่อยากรวยเร็วและรับความเสี่ยงได้มาก จะเน้นหนักไปทางหุ้น
3.8.1.4. คนที่กลัวความเสี่ยง จะเน้นไปที่ตราสารหนี้และทองคำ
3.8.2. เลือกว่าจะซื้อทรัพย์สินนั้นเอง หรือซื้อผ่านกองทุน
3.8.2.1. เช่น ซื้อหุ้นด้วยตัวเอง หรือซื้อกองทุนหุ้น
3.8.2.2. การลงทุนเองจะเสี่ยงสูงกว่า แต่ผลตอบแทนอาจสูงกว่ามาก
3.8.2.3. กองทุนจะเสี่ยงน้อย ผลตอบแทนปานกลาง
3.8.3. ถ้าซื้อเอง ให้เปิดบัญชีกับโบรคเกอร์ แต่ถ้าอยากซื้อผ่านกองทุน คุณสามารถซื้อได้ที่ธนาคารต่างๆ
3.8.3.1. คุณสามารถเลือกโบรคเกอร์ได้ที่ https://bit.ly/2W5yV2z หรือเดินไปถามธนาคารใกล้บ้านก็ได้
3.9. แล้วสรุปฉันควรลงทุนอะไร?
3.9.1. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเป้าหมายชีวิตของคุณ ดูรายละเอียดในหัวข้อ (4) ออกแบบชีวิตของคุณ
4. รู้จักหุ้นและตลาดหุ้น
4.1. ในระยะสั้น ราคาหุ้นขึ้นกับ จำนวนผู้ซื้อ-ผู้ขาย
4.1.1. หุ้นซื้อขายกันอยู่ในตลาดหุ้น ราคาจึงขึ้นกับคนซื้อและคนขาย
4.1.1.1. ถ้าคนซื้อน้อยคนขายเยอะ ราคาจะลง (เหมือนหมูล้นตลาด)
4.1.1.2. ถ้าคนซื้อเยอะคนขายน้อย ราคาจะขึ้น (เหมือนหมูขาดตลาด)
4.1.2. หุ้นของบริษัทที่ดี ราคาจะเป็นยังไงก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ของคนซื้อขายหุ้น
4.1.3. หุ้นของบริษัทที่แย่ ราคาจะเป็นยังไงก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ของคนซื้อขายหุ้น
4.2. ในระยะยาว ราคาหุ้นขึ้นกับตัวบริษัท
4.2.1. เนื่องจากหุ้นคือความเป็นเจ้าของบริษัท ราคาหุ้นจึงไม่สามารถเบนออกจากมูลค่าของบริษัทได้นาน ในระยะยาวราคาจะกลับมาหามูลค่าของมัน
4.2.2. หุ้นของบริษัทที่ดี จะราคาสูงขึ้นในระยะยาว
4.2.3. หุ้นของบริษัทที่แย่ จะราคาต่ำลงในระยะยาว
4.3. หุ้นที่ดี
4.3.1. ระยะสั้นราคาผันผวน แต่ระยะยาวราคาขึ้น
4.3.2. ถ้าซื้อหุ้นดีแล้วถือยาว = กำไร
4.3.3. ต่อให้คุณเลือกหุ้นได้ดี ถ้าซื้อๆ ขายๆ แล้วเข้าออกผิดจังหวะ คุณอาจขาดทุน
4.4. หุ้นที่แย่
4.4.1. ระยะสั้นราคาผันผวน แต่ระยะยาวราคาลง
4.4.2. ถ้าซื้อหุ้นแย่แล้วถือยาว = ขาดทุนหรือเหลือ 0
4.4.3. ต่อให้หุ้นแย่ ถ้าซื้อขายถูกจังหวะก็ยังกำไร (ทำยาก ไม่แนะนำ)
4.5. ดัชนีหุ้นคือการเฉลี่ยราคาหุ้นในตลาด
4.5.1. เศรษฐกิจไทยโตแทบทุกปี ดังนั้นดัชนีหุ้นจะสูงขึ้นช้าๆ ในะระยะยาว (เหมือนหุ้นที่ดีเล็กน้อย)
4.5.2. ผลตอบแทนเฉลี่ย 20 ปีของหุ้นไทยอยู่ที่ 12% ต่อปี ในอนาคตก็น่าจะอยู่ที่ 8-12%
4.5.2.1. ในอนาคตประเทศไทยน่าจะเติบโตช้าลง ทำให้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นลดลงนิดหน่อย
4.5.3. ถ้าคุณซื้อกองทุนหุ้นแล้วถือยาว คุณจะกำไรแน่นอน
4.5.3.1. กองทุนจะซื้อหุ้นกระจายหลายตัว ทำให้ผลตอบแทนใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของหุ้น
4.5.4. ถ้าคุณซื้อกองทุนแล้วซื้อๆ ขายๆ คุณอาจเข้าออกผิดจังหวะ แล้วขาดทุนได้
5. วิธีออกแบบการลงทุนให้เหมาะกับตัวคุณ
5.1. ชีวิตของคุณจะสุขสบายแค่ไหน ขึ้นกับเงินที่คุณมี ซึ่ง เงินที่คุณมีย่อมขึ้นกับความพยายาม กลยุทธ์การลงทุน และไลฟ์สไตล์ของคุณ ซึ่งเลือกได้ 3 ทาง...
5.1.1. เร่งลงทุนให้รวย พอรวยแล้วจะทำอะไรก็ได้
5.1.1.1. ทำไง?
5.1.1.1.1. ทำงานหาเงิน ชะลอการซื้อบ้าน/รถ ถ้าไม่จำเป็น
5.1.1.1.2. ออมเงินให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
5.1.1.1.3. ห้ามเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้อะไรก็ตามที่ดอกเบี้ยเกิน 10%
5.1.1.1.4. นำเงินทั้งหมดไปลงทุนหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ หาผลตอบแทนให้เกิน 20% ต่อปี
5.1.1.2. แผนสอง
5.1.1.2.1. การลงทุนมีความเสี่ยง ไม่มีอะไรรับประกันว่าคุณลงทุนแล้วจะกำไร
5.1.1.2.2. ควรมีรายได้ทางอื่นเผื่อไว้ด้วย ถ้าลงทุนไม่สำเร็จจะได้มีช่องทางรอดเผื่อไว้
5.1.1.3. ข้อดี
5.1.1.3.1. รวยแล้วสบาย อยากทำอะไรก็ได้
5.1.1.4. ความเสี่ยง/ข้อเสีย
5.1.1.4.1. แนวนี้จะทำได้จริงก็ต่อเมื่อคุณลงทุนได้ดี ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าคุณจะลงทุนได้ดี คุณอาจลงทุนผิดพลาดก็ได้
5.1.1.4.2. ช่วงแรกของการลงทุน คุณต้องออมเงินอย่างหนัก เพื่อเอาเงินมาเสริมการลงทุนให้เงินโตเร็วที่สุด
5.1.1.4.3. ก่อนรวย คุณจะไม่ค่อยมีเงินใช้จ่าย เพราะเอาเงินไปลงทุนหมด
5.1.2. มีงานประจำที่มั่นคง ใฝ่หาความก้าวหน้า อยากเรียนรู้เรื่องลงทุน จะได้นำเงินเก็บไปต่อยอดให้มั่งคั่งขึ้น
5.1.2.1. ทำไง?
5.1.2.1.1. ตั้งเป้าไว้ว่าแต่ละเดือน จะต้องเก็บเงิน xxx บาท และนำเงินก้อนนี้ไปลงทุน
5.1.2.1.2. แบ่งเงินลงทุนเป็น 3 ก้อน
5.1.2.1.3. ไม่ควรเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้อะไรก็ตามที่ดอกเบี้ยเกิน 10%
5.1.2.1.4. พอคุณลงทุนหุ้นเองได้ผลตอบแทนสูงกว่ากองทุน คุณอาจค่อยๆ ขายกองทุนแล้วหันมาลงทุนเองมากขึ้น
5.1.2.1.5. พอเกษียณ คุณสามารถนำรายได้ จากเงินปันผล/ดอกเบี้ย มาใช้จ่ายได้
5.1.2.1.6. ถ้าคุณเกษียณแล้วรายได้จากเงินปันผล/ดอกเบี้ย ไม่พอใช้ คุณจะต้องขายทรัพย์สินมากินใช้ ในกรณีนี้คุณควรถือพันธบัตรอย่างน้อยเท่ากับ ที่วางแผนจะขายใน 7 ปีข้างหน้า
5.1.2.2. ข้อดี
5.1.2.2.1. ชีวิตมั่นคง
5.1.2.2.2. อาจรวยถ้าลงทุนได้ดี
5.1.2.3. ความเสี่ยง/ข้อเสีย
5.1.2.3.1. รวยช้ากว่าแบบแรก
5.1.2.3.2. ในช่วงที่คุณมีเงินเก็บน้อย คุณจะมีความเสี่ยงต่อ "เหตุการณ์ไม่คาดคิด" ที่ต้องใช้เงินเยอะ เช่น การเจ็บป่วยเป็นโรคที่ค่ารักษาแพง อุบัติเหตุรถยนต์ หรือการตกงาน
5.1.2.3.3. ถ้าเงินเก็บน้อยไป หลังเกษียณคุณจะเริ่มต้องขายทรัพย์สินมาใช้ดำรงชีพ คุณจะมีความเสี่ยง "หมดตัวก่อนตาย"
5.1.2.3.4. ท้ายที่สุด การซื้อกองทุนก็เท่ากับคุณนำเงินไปให้คนอื่นบริหาร เขาจะเอาไปทำอะไรคุณก็ไม่รู้ คุณกำลังฝากชีวิตไว้กับคนอื่นที่ไม่รู้จัก
5.1.3. ทำงาน ใช้เงินหาความสุขบ้าง รู้ว่าควรออมเงินลงทุนเพื่อใช้ตอนเกษียณ แต่ไม่อยากศึกษาเรื่องลงทุน ไม่ชอบตัวเลขยากๆ ไม่สนใจเศรษฐกิจ
5.1.3.1. ทำไง?
5.1.3.1.1. ตั้งเป้าไว้ว่าแต่ละเดือน จะต้องเก็บเงิน xxx บาท และนำเงินก้อนนี้ไปลงทุน
5.1.3.1.2. แบ่งเงินลงทุนเป็น 2 ก้อน
5.1.3.1.3. ไม่ควรเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือหนี้อะไรก็ตามที่ดอกเบี้ยเกิน 10%
5.1.3.1.4. พอเกษียณ คุณสามารถนำรายได้ จากเงินปันผล/ดอกเบี้ย มาใช้จ่ายได้
5.1.3.1.5. ถ้าคุณเกษียณแล้วรายได้จากเงินปันผล/ดอกเบี้ย ไม่พอใช้ คุณจะต้องขายทรัพย์สินมากินใช้ ในกรณีนี้คุณควรถือพันธบัตรอย่างน้อยเท่ากับ ที่วางแผนจะขายใน 7 ปีข้างหน้า
5.1.3.2. ข้อดี
5.1.3.2.1. มีความสุขแบบพอเพียง
5.1.3.2.2. สบาย เงินเติบโต ไม่เครียด
5.1.3.3. ความเสี่ยง/ข้อเสีย
5.1.3.3.1. ไม่รวย
5.1.3.3.2. คุณมีความเสี่ยงต่อ "เหตุการณ์ไม่คาดคิด" ที่ต้องใช้เงินเยอะ เช่น การเจ็บป่วยเป็นโรคที่ค่ารักษาแพง อุบัติเหตุรถยนต์ หรือการตกงาน
5.1.3.3.3. ถ้าเงินเก็บน้อยไป หลังเกษียณคุณจะเริ่มต้องขายทรัพย์สินมาใช้ดำรงชีพ คุณจะมีความเสี่ยง "หมดตัวก่อนตาย"
5.1.3.3.4. ถ้าลูกหลานต้องการความช่วยเหลือทางการศึกษา การเงิน หรือโอกาสในชีวิต คุณจะไม่สามารถช่วยได้ เพราะคุณวางแผนให้มีกินอย่างพอเพียงเท่านั้น
5.1.3.3.5. ท้ายที่สุด การซื้อกองทุนก็เท่ากับคุณนำเงินไปให้คนอื่นบริหาร เขาจะเอาไปทำอะไรคุณก็ไม่รู้ คุณกำลังฝากชีวิตไว้กับคนอื่นที่ไม่รู้จัก