
1. ผลตอบแทนที่ทำได้ = ปีละ 29.2% ต่อเนื่องกัน 13 ปี
2. ได้เป็นผู้จัดการกองทุน Fidelity Magellan ตั้งแต่อายุ 33 ปี
3. ผู้เขียน
3.1. ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch)
3.1.1. เขียนหนังสือ One up on Wall Street, Learn to Earn, Beating the Street
3.1.2. เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เก่งกาจที่สุดในโลก และมีสไตล์การลงทุนที่ยืดหยุ่น ปรับตัวตามสถานการณ์
3.2. John Rothschild
3.2.1. ทายาทตระกูล Rothschild ที่ว่ากันว่าร่ำรวยที่สุด ในโลก โดยบางแหล่งข่าวประเมินว่ามีทรัพย์สินกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์ (130 ล้านล้านบาท) และมีอิทธิพลในแวดวงการธนาคารของยุโรป
4. ข้อคิดสำคัญ
4.1. การลงทุนทำได้หลายทาง เช่น ฝากธนาคาร พันธบัตร บ้าน หุ้น และของสะสม แต่หุ้นคือการลงทุนที่ดีที่สุด
4.2. คุณควรลงทุนหุ้น และลงทุนยาวๆ ซื้อแล้วถือโดยไม่ต้องขาย
4.3. คุณจะลงทุนไม่ได้ถ้าไม่มีเงินเก็บ และคุณจะเก็บเงินไม่ได้ถ้าใช้จ่ายมากกว่ารายได้
4.4. ยิ่งคุณลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ จะยิ่งรวยเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
4.5. คนที่อยากลงทุนหุ้นแต่ไม่อยาก เลือกหุ้นเอง สามารถซื้อกองทุนแทน
4.6. บริษัทก็เหมือนคน มีช่วงเวลาวัยหนุ่ม วัยกลางคน และวัยชรา ก่อนจากโลกนี้ไป
5. ประวัติฉบับย่อของโลกทุนนิยม
5.1. จากโลกที่ไม่มีเงิน
5.1.1. เป็นเวลานับพันปีที่โลกเราแทบไม่ได้ใช้เงิน คนส่วนใหญ่เป็นไพร่ทาส ไม่มีรายได้ยกเว้นอาหารพออิ่มกับกระท่อมซุกหัวนอน คนที่ถือเงินมีแค่พ่อค้ากับเหล่าขุนนางเท่านั้น
5.1.2. จนถึงปีค.ศ. 1700 การค้าระหว่างประเทศสะพัดขึ้นมา พ่อค้าเริ่มมีจำนวนเยอะขึ้นจนกลายเป็นชนชั้นสำคัญ
5.1.3. พ่อค้า เจ้าของร้าน นักเดินเรือ ร่ำรวยยิ่งกว่าราชา นายธนาคารกลายเป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริง นั่นคือจุดกำเนิดของทุนนิยมสมัยใหม่
5.2. กำเนิดบริษัท
5.2.1. ขณะที่โลกตะวันตกล่าอาณานิคม ก็เกิดความเสี่ยงทุกครั้งที่บุกเบิกดินแดนใหม่
5.2.2. ใครจ่ายค่าเดินทางไปถางป่าในอเมริกา? ใครจ่ายค่าอาวุธสำหรับยึดอินเดีย? ถ้าอาณานิคมขาดทุน ใครเป็นคนรับผิดชอบ?
5.2.3. เพื่อแก้ปัญหา ชาวตะวันตกจึงคิดค้น "บริษัท" ขึ้นมา เช่นบริษัท East India Company เกิดขึ้นเพื่อลงทุนสร้างกองทัพมายึดครองอินเดีย และผู้ถือหุ้นจะได้กำไรจากการยึดครองนั้น
5.3. นักธุรกิจยุคบุกเบิก
5.3.1. คนอเมริกันนำไอเดีย "บริษัท" มาต่อยอด โดยไม่ได้ใช้สร้างอาณานิคม แต่ใช้สร้าง "ธุรกิจ" จึงเกิดนักธุรกิจยุคใหม่ที่สร้างบริษัทขึ้นมาในอเมริกา
5.4. แนวคิดเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
5.4.1. สมัยนั้นการ "อยากก้าวหน้า"หรือ "อยากรวย" นั้นเป็นเรื่องน่ารังเกียจ มันคือการเห็นแก่ตัวที่ขัดกับศีลธรรมอันดี
5.4.2. แต่นายอดัม สมิธ เสนอแนวคิดใหม่ เขาบอกว่ายิ่งคนอยากรวย ยิ่งคนเราหาเงินเท่าไร เขายิ่งทำประโยชน์ให้สังคม และทำให้สังคมเจริญ
5.4.2.1. เพราะเราจะได้เงินก็ต่อเมื่อเราขายสิ่งที่คนอื่นอยากได้ เท่ากับเราทำสิ่งที่ดีต่อผู้อื่น ยิ่งทุกคนหาเงิน สังคมยิ่งเจริญ
5.4.3. การ "อยากรวย" กลายเป็นเรื่องที่ ยอมรับได้ขึ้นมาในสังคม
5.5. ตลาดหุ้นเริ่มขยายใหญ่
5.5.1. ในปี 1800 มี 295 บริษัทในอเมริกา แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชน เจ้าของเก็บหุ้นเอาไว้กับตัว คนธรรมดาจึงไม่สามารถถือหุ้นบริษัทพวกนี้
5.5.2. แต่ไม่นาน เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มเติบใหญ่ บริษัทเริ่มจดทะเบียนกันในตลาดหุ้นมากขึ้น ทุกคนสามารถเข้าไปซื้อหุ้นในตลาดได้
5.5.3. ธุรกิจรถไฟคือกลุ่มที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนั้น ราคาหุ้นรถไฟต่างๆ ขึ้นไปสูงมาก แค่มีคำว่า "ราง" อยู่ในชื่อบริษัท ราคาก็ขึ้นไปหลายเท่าตัว
5.5.4. และไม่นานก็เกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตกครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา
5.6. สินค้า Made in America
5.6.1. สมัยนั้นคนยุโรปคือ "ผู้ดี" ส่วนคนอเมริกันคือพวก "ซกมก" ไร้มารยาท
5.6.2. แต่คนอเมริกันเป็นนักประดิษฐ์ ชอบสร้างเครื่องจักรแปลกๆ มาช่วยงานในฟาร์ม และคิดค้นสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ
5.7. รางรถไฟและการค้า
5.7.1. เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตก้าวกระโดด รางรถไฟเชื่อมทั้งอเมริกาจากมหาสมุทรแอตแลนติกสู่แปซิฟิก
5.7.2. เศรษฐกิจ การค้า และการประดิษฐ์คิดค้น นำอเมริกาสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
5.7.3. เกิดสิ่งประดิษฐ์ใหม่ เกิดไฟฟ้า เกิดเครื่องจักร วิศวกรอเมริกันอาจไม่ "ผู้ดี" เหมือนยุโรป แต่พวกเขาสร้างสิ่งใหม่ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
5.8. การเติบโตของแบรนด์ระดับชาติ
5.8.1. ก่อนหน้านี้ธุรกิจต่างๆ มักขายอยู่ในเมืองของตัวเอง แต่การคมนาคมขนส่งเริ่มเชื่อมอเมริกาเข้าด้วยกัน
5.8.2. ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างแบรนด์ไปได้ทั้งประเทศ เกิดแบรนด์มากมายทั้งขนมโอรีโอ้ ช็อคโกแลตเฮอร์ชี่ส์ ซอสมะเขือเทศไฮนส์ ฯลฯ
5.9. ผู้ชนะในการปฏิวัติอุตสาหกรรม
5.9.1. โรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่สินค้าแทบทุกอย่าง จากเดิมที่คนเย็บผ้าเอง ทำอาหารเอง ก็กลายเป็นซื้อสิ่งที่ทำสำเร็จรูปจากโรงงาน
5.9.2. เกิดผู้ชนะที่กินรวบทุกอย่าง คนพวกนี้ร่ำรวยจนมีอิทธิพลสูง และกินมูมมามไม่เหลือให้คนอื่น อย่างในธุรกิจรถไฟ มักเกิดเหตุปั่นหุ้นและฉ้อโกงในตลาดหุ้น ผู้ถือหุ้นรายย่อยหมดตัว แต่รายใหญ่กลายเป็นมหาเศรษฐี
5.9.3. ในยุคนี้ คนอเมริกันได้ชื่อว่าทำธุรกิจด้วยเล่ห์เหลี่ยม เหมือนคนจีนในปัจจุบัน
5.10. ทุนนิยมผูกขาด
5.10.1. เข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ทุนนิยมในอเมริกาเริ่มไม่เหมือนเดิม จากที่ทุกคนแข่งขันกัน กลายเป็นมีรายใหญ่ผูกขาดธุรกิจต่างๆ ไม่กี่ราย
5.10.2. ทุนนิยมจะดีต่อสังคมก็ต่อเมื่อมีการแข่งขัน จึงเกิดการต่อต้านบริษัทผูกขาดขึ้นทั่วอเมริกา รัฐบาลออกกฎหมายต้านการผูกขาด ชุมชนออกมาประท้วง ฯลฯ สถานการณ์จึงดีขึ้น
5.11. ดัชนีดาวโจนส์ของนายดาว
5.11.1. นายดาวอยากให้นักลงทุนรู้ง่ายๆ ว่าตลาดหุ้นขึ้นหรือลง เขาจึงเอาราคาหุ้นบริษัทใหญ่ 11 แห่งมาเฉลี่ย เกิดเป็น "ดัชนีดาวโจนส์" สำหรับคอยติดตามตลาดหุ้นอเมริกา
5.11.2. สมัยนั้นดัชนีดาวโจนส์มีแต่หุ้นรางรถไฟกับบริษัทอุตสาหกรรม เวลาผ่านมาจนปัจจุบัน ไม่เหลือรางรถไฟแม้แต่แห่งเดียว จาก 11 บริษัทตั้งต้น ตอนนี้มี 0 บริษัทที่ยังใหญ่พอจะอยู่ในดัชนีดาวโจนส์
5.11.3. บทเรียน: ไม่มีบริษัทไหนอยู่ค้ำฟ้า บริษัทต่างๆ มาแล้วก็ไป ตามวิวัฒนาการของเศรษฐกิจ
5.12. The Great Depression
5.12.1. The Great Depression คือเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกในปี 1929 (พ.ศ. 2472)
5.12.1.1. เศรษฐกิจตกต่ำครั้งนี้รุนแรงขนาดที่อีก 3 ปีต่อมา เกิดการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองขึ้นในไทย
5.12.2. ก่อนหน้านั้น เศรษฐกิจอเมริกาดีมาก ตลาดหุ้นบูม เกิดห้างร้านทุกมุมถนน คนกู้เงินมาซื้อหุ้น ชีวิตดีกันใหญ่
5.12.3. และแล้วก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตลาดหุ้นร่วงทั้งกระดาน ธนาคารล้มละลาย คนตกงานและอดตาย หลายคนหมดตัว วิกฤติครั้งนี้ถูกเรียกว่า The Great Depression
5.13. นิทานปรัมปราจากความพินาศ
5.13.1. วิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ทำให้หลายคนกลัว ไม่กล้าลงทุนในหุ้นอีกเลย และสอนลูกสอนหลานให้กลัวกันไปอีกหลายรุ่น
5.13.2. นั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะหลายสิบปีหลังจาก The Great Depression ตลาดหุ้นได้เติบโตมาตลอด คนที่ไม่กล้าลงทุนหุ้นจึงเสียโอกาสสำคัญไป
5.13.3. รัฐบาลต่างๆ ได้เรียนรู้จากวิกฤติครั้งนั้น และกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เกิดวิกฤติขึ้นอีก ก็สามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ตลอด นับจากวันนั้นเกือบร้อยปี เกิดวิกฤติอีกหลายสิบครั้ง แต่ยังไม่มีวิกฤติไหนที่ฟื้นกลับมาไม่ได้เลย
5.14. คนที่รอดท่ามกลางวิกฤติ
5.14.1. ไม่ใช่ทุกคนจะเจ๊งจากวิกฤติ บางคนกลับร่ำรวย อย่างบริษัท A&P ขายสินค้าทั่วไปให้ผู้บริโภค ยังไงทุกคนก็ต้องกินข้าว แม้จะเกิดวิกฤติ บริษัทจึงเติบโตและขยายกิจการไปต่อได้
5.14.2. ข้อคิด: หลายครั้งที่นักลงทุนชอบมอง "ภาพกว้าง" จนพลาดเรื่องสำคัญไป อย่าง A&P ไม่ได้สนใจเศรษฐกิจภาพรวมขนาดนั้น เขาก็ยังเติบโตต่อไปได้
5.14.2.1. ในการลงทุน สิ่งสำคัญไม่ใช่ภาวะโลกร้อน สงครามการค้า ความรุนแรงในตะวันออกกลาง หรือราคาน้ำมัน
5.14.2.2. สิ่งสำคัญอยู่ที่สภาวะในธุรกิจนั้นต่างหาก ในกรณีของ A&P บริษัทปรับตัวเข้ากับ การแข่งขันได้ดี จึงเจริญรุ่งเรืองท่ามกลาง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
5.15. ฟ้าหลังฝน
5.15.1. หลังเศรษฐกิจตกต่ำก็เกิดสงครามโลก หลังสงครามโลกจึงเกิดช่วงเวลาฟื้นตัว
5.15.2. คนกลับมาซื้อบ้าน ซื้อรถ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และสิ่งอำนวยความสะดวก เศรษฐกิจฟื้นอย่างรวดเร็ว
5.15.3. ในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด คนอเมริกันกลับไม่ซื้อหุ้น เพราะกลัวจะเกิด The Great Depression อีก พวกเขาจึงพลาดโอกาสใหญ่ใน 100 ปีไป
5.16. กฎระเบียบในตลาดหุ้น
5.16.1. สมัยก่อน นักลงทุนรายใหญ่ชอบปั่นหุ้นให้ รายย่อยซื้อตาม ส่วนรายย่อยก็ชอบซื้อหุ้น โดยไม่ได้สนใจตัวบริษัทจริง ขอแค่หุ้นตัว ไหนเขาเล่นกันก็เข้าไปเล่นตาม
5.16.2. และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้นักลงทุนรายย่อยเจ๊งกันบ่อย
5.16.3. หลังเกิดวิกฤติ จึงมีการออกกฎมาช่วยรายย่อย เช่น ห้ามใช้ข้อมูลวงในซื้อหุ้น
5.17. นักเล่นหุ้นที่เป็นคนธรรมดาล่ะ?
5.17.1. หลังเกิดวิกฤติทุกครั้ง คนจะออกจากตลาดหุ้นกัน แล้วสักพักก็จะมีคนหัดลงทุนเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ
5.17.2. ยิ่งคนเข้ามาในตลาดหุ้นมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะถูกดันให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ดึงดูดหน้าใหม่เข้ามาในตลาดอีก
5.17.3. จนกระทั่งป้าข้างบ้านยังเล่นหุ้น ทุกคนได้กำไร เซียนหุ้นเดินชนกันเต็มตลาด ก็จะเกิดวิกฤติ และกลับไปเริ่มใหม่ที่คนกลัวหุ้น
5.17.3.1. ราคาหุ้นอาจขึ้นสูงได้ในช่วงสั้นๆ แต่สุดท้ายจะกลับมาที่ "มูลค่าบริษัท" ซึ่งอ้างอิงกับหุ้นตัวนั้น ดังนั้นถ้าราคาหุ้นขึ้นสูงไป มันจึงต้องลงกลับมาในราคาที่ควรจะเป็นเสมอ
5.17.4. นี่เป็นหนังฉายซ้ำที่เกิดขึ้นทุก 5-10 ปี และยังคงมีแนวโน้มเกิดขึ้นอีกนาน ตราบที่โลกเรามีตลาดหุ้น
6. พื้นฐานของการลงทุน
6.1. คนเราจะสร้างตัวได้อย่างไร
6.1.1. ใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้
6.1.1.1. ฟังดูเป็นเรื่องปกติ แต่คนจำนวนมากไม่ทำอยู่ดี
6.1.1.2. เราไม่มีทางสร้างตัวได้ ถ้าใช้เงินมากกว่าที่หาได้
6.1.2. เอาเงินเก็บไปลงทุน
6.1.2.1. ถ้าคุณไม่ลงทุน เงินของคุณก็จะไม่งอกเงย และถูกเงินเฟ้อกินไปตลอดเวลา
6.1.2.2. การลงทุนจะช่วยให้เรามั่งคั่งขึ้นได้ เงินของเราสามารถโตขึ้นได้หลายสิบเท่าเมื่อลงทุนไปหลายปี
6.1.2.2.1. เงิน 1 ล้านจะกลายเป็นหลายสิบ หรือหลายร้อยล้าน
6.1.3. ลงมือเดี๋ยวนี้
6.1.3.1. หลายคนรอให้อายุ 30 40 50 ก่อนจึงค่อยเริ่มลงทุน
6.1.3.1.1. พวกเขากำลังเสียโอกาสอันมีค่าที่จะ "ให้เงินทำงาน" สร้างความมั่งคั่ง
6.1.3.1.2. รู้ตัวอีกทีก็อายุ 57 และจวนเกษียณ แต่แทบไม่มีเงินเก็บเลย เมื่อถึงจุดนั้นก็แก้ไขไม่ทันแล้ว
6.1.3.1.3. แทนที่จะมีเงินเก็บเยอะ ชีวิตสบายตั้งแต่อายุยังน้อย กลายเป็นต้องทำงานจนอายุ 60 (หรือบางคน 60 แล้วก็ยังต้องทำงานต่อไป)
6.2. รู้จักกับโจและแซลลี่
6.2.1. โจ บิ๊กเบลลี่ เป็นพนักงานเซเว่น
6.2.1.1. โจอยู่บ้านพ่อแม่ และตั้งใจเก็บเงินไปดาวน์รถนิสสันคันใหม่
6.2.1.2. ในที่สุดโจก็เก็บเงินได้ และซื้อรถในฝัน โดยเขาต้องผ่อนอีกงวดละ 7000 บาทนาน 7 ปี
6.2.1.3. โจเศร้าใจที่ต้องจากลาเงิน 7000 บาท ในเดือนแรก แต่เขารู้สึกคุ้มค่าเมื่อเพื่อนๆ ชมว่ารถคันใหม่เท่ระเบิด
6.2.1.4. หลายเดือนต่อมา มีรอยขูดที่ประตูและคราบบนพรม ไม่มีใครอู๊ว์หรืออ๊าห์อีกต่อไป รถคันนี้ก็กลายเป็นรถธรรมดาอีกคัน แต่โจยังต้องจ่ายค่าผ่อนไปอีก 7 ปี
6.2.1.5. โจต้องทำงานกะดึกเพื่อหาเงินมาจ่าย ค่ารถที่จะขับพาแฟนไปเที่ยว แต่งานกะดึกทำให้เขาไม่มีเวลาให้แฟน จึงโดนทิ้งในเวลาไม่นาน
6.2.1.6. ผ่านไป 5 ปี โจเบื่อนิสสันคันนี้เต็มทน เขาจึงหาเงินมาจ่ายค่ารถจนหมด ซึ่งพอรวมดอกเบี้ยแล้วเขาจ่ายไป 600,000 บาท ไม่รวมค่าประกัน ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ฯลฯ
6.2.1.7. เจ้านิสสันมีรอยขูดกับรอยเปื้อนเต็มตัว เครื่องยนต์ก็ส่งเสียงน่ากลัว แต่ถ้าเขาขายตอนนี้ก็คงได้สัก 70,000 สรุปโจเสียไป 600,000 เพื่อรถราคา 70,000 ซึ่งเขาก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไรแล้ว
6.2.2. แซลลี่ คาทวีล ก็เป็นพนักงานเซเว่นสาขาข้างๆ
6.2.2.1. แซลลี่อยู่บ้านพ่อแม่เหมือนกัน แต่แซลลี่นั่งรถเมล์ ไม่ซื้อรถ
6.2.2.2. แซลลี่ไม่ต้องผ่อนรถ เธอจึงมีเงินเหลือเก็บเดือนละ 7000 บาทไปซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้น
6.2.2.3. ผ่านไป 5 ปี ขณะที่โจกำลังผ่อนรถงวดสุดท้าย กองทุนหุ้นของแซลลี่ราคาสูงขึ้น 2 เท่ากว่า แซลลี่จึงมีเงินเก็บประมาณ 1,150,000 บาท
6.2.2.4. แซลลี่นำเงินเก็บไปซื้อบ้านปล่อยเช่า ซึ่งสร้างรายได้ให้เธอเดือนละ 5,000 บาทฟรีๆ
6.3. ให้เงินทำงานแทนคุณ
6.3.1. เงินทำงานยังไง
6.3.1.1. เงินเป็นเพื่อนของคุณ คุณแค่ส่งเงินไปทำงาน แล้วมันก็จะหาเงินมาเพิ่มให้คุณอีก
6.3.1.2. ถ้าคุณเอาเงินไปฝากธนาคารสัก 500 บาท แล้วได้ดอกเบี้ย 5% พอสิ้นปีเงินจะพาเพื่อนใหม่มาให้คุณ 25 บาท
6.3.1.2.1. ฟังดูน้อย แต่ถ้าคุณฝากเงินปีละ 500 บาท ต่อเนื่องกัน 10 ปี คุณจะมีเงิน 6,600 บาท
6.3.1.3. ขนาดดอกเบี้ย 5% ยังเยอะขนาดนี้ ถ้าคุณลงทุนในหุ้นจะได้เยอะกว่านี้อีก (เงินจะกลายเป็นสองเท่าทุก 7-8 ปี)
6.3.2. อิสรภาพทางการเงิน
6.3.2.1. ถ้าคุณลงทุนตั้งแต่อายุน้อย คุณจะสะสมเงินได้จนถึงจุดที่ เงินเก็บเพียงพอที่จะเลี้ยงดูคุณได้
6.3.2.2. เหมือนมีลุงหรือป้ารวยๆ ที่ส่งเงินให้คุณใช้ทุกเดือนไปตลอดชีวิต
6.3.2.3. หนี้คือการลงทุนกลับด้าน แทนที่คุณจะให้เงินทำงานแทนคุณ กลายเป็น "คนอื่นเอาเงินของเขามาทำงานใส่คุณ"
6.3.2.4. คุณยังไม่ต้องคอยตอบไลน์หรือ ไปเยี่ยมลุงกับป้าตอนวันเกิดอีกด้วย
6.3.3. ให้เกรดตัวเองด้านการเงิน
6.3.3.1. เกรด A = ออมเงินแล้วลงทุนตั้งแต่วันนี้
6.3.3.2. เกรด C- = มีเท่าไรใช้หมด
6.3.3.3. เกรด F = เป็นหนี้บัตรเครดิต
6.3.4. หนี้บัตรเครดิต
6.3.4.1. ทุกครั้งที่บริษัทบัตรเครดิตเก็บดอกเบี้ยคุณ 20% พวกเขากำลังใช้เงินทำงาน โดยได้ผลตอบแทนสูงกว่าลงทุนในหุ้น
6.3.4.1.1. "คุณ" ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นเสียอีก
6.3.4.2. เวลาคุณเป็นหนี้ แทนที่คุณจะให้เงินทำงาน คุณกำลังขุดหลุมฝังตัวเองแทน
6.4. ทางเลือกในการลงทุน
6.4.1. ฝากธนาคาร
6.4.1.1. ปลอดภัย
6.4.1.2. ดอกเบี้ยต่ำ
6.4.1.3. ใช้สำหรับเก็บเงินระยะสั้น แต่ไม่ควรเก็บเงินระยะยาวในนี้
6.4.2. บ้าน
6.4.2.1. บ้านเป็นการลงทุนที่ดี เพราะมันบังคับให้คุณออมเงิน (ผ่อนบ้านทุกเดือน)
6.4.2.2. ที่จริงซื้อหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่า แต่คุณอาจไม่มีวินัยในการออมหุ้น บ้านบังคับให้คุณมีวินัยในการออม
6.4.3. ตราสารหนี้/พันธบัตร/หุ้นกู้
6.4.3.1. ตราสารหนี้/พันธบัตร/หุ้นกู้ พวกนี้กลุ่มเดียวกัน มันคือการที่คุณให้รัฐบาลหรือบริษัทกู้เงิน และมีการ "รับประกัน" ว่าจะจ่ายคืนพร้อมดอกเบี้ย
6.4.3.1.1. ถึงจะรับประกัน แต่ถ้าเขาไม่มีเงินจ่าย คุณก็ไม่ได้เงินคืนอยู่ดี
6.4.3.1.2. รัฐบาลมีเงินจ่ายเสมอ เพราะเขาพิมพ์เงินเองได้ แต่บริษัทอาจล้มละลายแล้วไม่มีเงินจ่ายคุณ
6.4.3.2. ถ้าคนกู้เป็นรัฐบาล เรียกว่าพันธบัตร
6.4.3.3. ถ้าคนกู้เป็นบริษัทเอกชน เรียกว่าหุ้นกู้ (อย่าสับสนกับหุ้น)
6.4.3.4. พันธบัตรเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น เพราะมีการรับประกันผลตอบแทน แต่ผลตอบแทนย่อมต่ำกว่าหุ้น
6.4.3.5. ถ้าคุณเอาเงิน 1,000 บาทไปซื้อหุ้นกู้แมคโดนัลด์ แต่เพื่อนเอา 1,000 บาทไปซื้อหุ้นแมคโดนัลด์
6.4.3.5.1. ถ้าแมคโดนัลด์ราคาหุ้นเพิ่มจาก $22.5 เป็น $13,570 (เรื่องจริง)
6.4.3.5.2. ถ้าแมคโดนัลด์ราคาหุ้นลงจาก $13,570 เป็น $22.5
6.4.3.5.3. ถ้าแมคโดนัลด์ล้มละลาย
6.4.4. หุ้น
6.4.4.1. ปีเตอร์ ลินช์ สนับสนุนให้ลงทุนในหุ้น
6.4.4.2. หุ้นคือสัดส่วนการเป็นเจ้าของบริษัท ถ้าคุณซื้อหุ้น คุณกำลังซื้อบริษัท
6.4.4.3. ถ้าบริษัทรุ่งเรือง คุณก็รุ่งเรือง
6.4.4.4. ถ้าบริษัทจ่ายเงินปันผลทุกปี คุณก็ได้เงินปันผลทุกปี
6.4.4.5. โดยเฉลี่ย หุ้นให้ผลตอบแทน ประมาณ 10-12% ต่อปี แสดงว่าการลงทุนหุ้นมีแนวโน้มได้กำไร ต่อให้คุณลงทุนไม่เก่งมาก
6.4.4.6. เพื่อนหรือครอบครัวอาจเคยเตือน ให้คุณอยู่ห่างจากหุ้น บางคนเคย ขาดทุนเป็นหลักฐานด้วย
6.4.4.6.1. คนที่ขาดทุนส่วนใหญ่ ลงทุนโดยขาดความรู้
6.4.4.6.2. ร้อยละ 99 พอซื้อแล้วหุ้นลง ก็จะตกใจขาย โดยไม่รอให้มันขึ้นกลับมาก่อน
6.4.4.6.3. พวกนี้มีกลยุทธ์ว่า "ซื้อแพงขายถูก" แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำตาม
6.5. ยาวไปไม่อ่าน
6.5.1. คุณควรออมเงินแล้วลงทุน
6.5.2. คุณควรลงทุนในหุ้น
6.5.3. ซื้อหุ้นแล้วถือยาว เดี๋ยวก็กำไรเอง
7. ของสะสม
7.1. แสตมป์ เหรียญ เหรียญโปเกม่อน นาฬิกา ไวน์ พระเครื่อง ฯลฯ
7.2. ถ้ามองเป็นการลงทุน ต้องซื้อมาแล้วขาย ได้ราคาแพงกว่าตอนซื้อ
7.3. ของสะสมอาจชำรุด หรือสูญหาย ถ้าจะลงทุนพวกนี้ควรระวังให้ดี
7.4. ของสะสมทุกวงการจะมีเซียนในวงการนั้น ถ้าคุณอยากได้กำไร ต้องศึกษาให้ดี
8. วิธีลงทุนในหุ้น
8.1. ลงทุนระยะยาว
8.1.1. เงินที่ใช้ลงทุนต้องกะไว้ว่า จะไม่เอาออกมาใช้เร็วๆ นี้
8.1.1.1. เผื่อตลาดหุ้นตก เราจะได้ถือรอให้ราคาขึ้นกลับมาได้
8.1.2. เลือกหุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ พอซื้อเสร็จก็ถือไว้ยาวๆ
8.1.2.1. ถ้าตลาดหุ้นตก ก็ถือหุ้นไว้เฉยๆ เดี๋ยวราคามันก็กลับขึ้นมา
8.1.2.2. ต้องเป็นหุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอเท่านั้น ราคาจึงกลับมา ถ้ากำไรลดลงทุกปี ราคาหุ้นจะไม่กลับมา และเราอาจต้องยอมขายตัวนั้นไป
8.1.3. ลงทุนให้เหมือนลาโง่
8.1.3.1. ลาโง่ไม่สนใจว่าตลาดหุ้นจะลงหรือขึ้น มันซื้อหุ้นแล้วก็ถือไว้เฉยๆ
8.1.4. มีวินัยและจิตใจที่เข้มแข็ง
8.1.4.1. "ก่อนขึ้นชก ทุกคนมีแผนหมดแหละ จนกระทั่งโดนชกเข้าที่ปาก" - ไมค์ ไทสัน นักมวยเฮฟวี่เวทในตำนาน
8.1.4.2. ตอนหุ้นขึ้น ทุกคนสามารถสาบานต่อหน้ากระจก ว่าจะไม่ขายหุ้นด้วยอารมณ์ แต่พอถึงเวลา "เกิดวิกฤติ" ขึ้นจริง คนจำนวนมากจะสติแตก ขายหุ้นทิ้งหมดทันที
8.1.5. ไม่มีใครทำนายตลาดหุ้นได้จริง
8.1.5.1. สำนักข่าวชอบเล่นข่าว "ฟองสบู่แตก" หรือ "วิกฤติยังไม่จบ" หรือ "เศรษฐกิจซึมยาว" แต่ข่าวพวกนี้ถูกครึ่งผิดครึ่ง บางครั้งตลาดหุ้นก็ขึ้นสวนแม้เศรษฐกิจยังดูแย่
8.1.5.2. คนจำนวนมากขาดทุนเพราะพยายามทำนายตลาด เช่น คิดว่าตลาดหุ้นจะตกหนัก ก็เลยขาย (แล้วก็เจอหุ้นขึ้นสวนต่อหน้าต่อตา)
8.1.5.3. ถ้าคุณขายหุ้นเพราะตลาดหุ้นตก คุณกำลังทำนายตลาดอยู่โดยไม่รู้ตัว
8.1.5.4. วิธีที่ง่ายกว่าคือ ซื้อหุ้นที่ดี แล้วไม่ต้องทำอะไร
8.1.5.4.1. แต่ต้องขายหุ้นถ้าบริษัทเริ่มไม่ดี (กำไรลดลง)
8.2. ซื้อกองทุนถ้าไม่อยากเลือกหุ้นเอง
8.2.1. กองทุนคืออะไร?
8.2.1.1. กองทุนคือการที่เรากับคนอื่นหลายๆ คนนำเงินไปให้ "ผู้จัดการกองทุน" บริหาร แล้วเราก็รอกำไร
8.2.1.2. กองทุนมีหลายแบบ ถ้าคุณซื้อกองทุนหุ้น เขาก็จะเอาเงินเราไปซื้อหุ้นให้ โดยเราไม่ต้องเลือกหุ้นเอง
8.2.2. กองทุนถูกสร้างมาสำหรับคนที่อยากลงทุนหุ้น แต่ไม่อยากวิเคราะห์หุ้นเอง
8.2.2.1. เป็นวิธีลงทุนที่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบตัวเลข ไม่สนใจเศรษฐกิจ และไม่แคร์ว่ารองเท้ารุ่นใหม่ของ Nike ดีกว่า Adidas หรือไม่
8.2.3. กองทุนมักลงทุนหุ้นทีเดียวหลายตัว (เป็น 100 ตัวก็มี)
8.2.3.1. คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ขาดทุนหนัก และในระยะยาวกำไรแน่นอน
8.2.4. มีเงิน 1000 บาทก็ซื้อกองทุนได้
8.2.5. ซื้อขายกองทุนได้ทุกวันทำการ
8.2.5.1. แต่คุณไม่ควรขาย คุณควรตั้งเป้าว่าจะกำไรหลายเท่าจากราคาซื้อ และยิ่งคุณถือนาน ยิ่งกำไรมาก
8.2.6. กองทุนมีค่าบริหารจัดการ
8.2.6.1. ค่าบริหารจัดการ 0.5-2% ของเงินลงทุนต่อปี จะมากหรือน้อยแล้วแต่กอง
8.2.7. กองทุนมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ บริหารให้
8.2.7.1. ข้อดี: เขาลงทุนเต็มเวลา เรียนจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ มีผู้ช่วยหาข้อมูล มีโปรแกรมช่วยลงทุน และเข้าถึงข่าวใหญ่ก่อนใคร
8.2.7.2. ข้อเสีย: ผู้จัดการกองทุนมักซื้อหุ้นที่กองทุนอื่นซื้อกัน กลายเป็นว่าผลตอบแทนของกองทุนจะ "กลางๆ" ไม่มากไม่น้อย หมายความว่าคุณจะรวยช้ากว่า คนที่เลือกหุ้นเองและเลือกได้ดี
8.2.8. เมื่อตลาดหุ้นตก หุ้น 90% จะราคาลง และกองทุนจะลงไปด้วย
8.2.8.1. เป็นแบบนี้เสมอ อย่าตกใจ เดี๋ยวมันก็กลับขึ้นมา
8.2.8.2. อย่าขายกองทุนเวลาหุ้นตก ไม่งั้นคุณจะ ขายในราคาต่ำ ซึ่งมักขาดทุน
8.2.9. ถ้าคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว อย่าซื้อกองทุนพันธบัตร และกองทุนผสม (ที่ซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตร)
8.2.9.1. ผลตอบแทนจะน้อยลงเปล่าๆ
8.2.9.2. ลงทุนหุ้นดีกว่ามาก
8.3. เลือกหุ้นเองถ้าอยากรวยเร็ว
8.3.1. ไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่จะกำไร
8.3.1.1. นักลงทุนระดับโลกวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเคยลงทุนพลาด
8.3.1.2. นักลงทุนระดับโลกปีเตอร์ ลินช์ ก็เคยลงทุนพลาด
8.3.1.3. คุณเอง ก็คงลงทุนพลาดด้วย แต่นั่นเป็นเรื่องปกติ คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนถูกทุกตัวเพื่อทำกำไร
8.3.2. กำไรหนักๆ ไม่กี่ตัวก็พอ
8.3.2.1. ถ้าคุณซื้อหุ้นมา 10 ตัว ขอสักตัวที่กำไรหลายเท่า ก็เพียงพอที่จะชดเชยขาดทุนจากตัวอื่น
8.3.3. ในชีวิตนี้ ขอหุ้น 3 เด้งไม่กี่ครั้งก็รวยแล้ว
8.3.3.1. หุ้น 3 เด้งคือหุ้นที่คุณซื้อแล้วราคาขึ้นมา 3 เท่า
8.3.3.2. ถ้าคุณเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท แล้วเจอหุ้น 3 เด้งสักห้าครั้ง คุณจะมี 2.4 ล้านบาท
8.3.3.3. ถ้าคุณเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท แล้วเจอหุ้น 3 เด้ง สิบครั้ง คุณจะมี 590 ล้านบาท
8.3.3.4. ถ้าคุณเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10,000 บาท แล้วเจอหุ้น 3 เด้ง สิบห้าครั้ง คุณจะมี 143,000 ล้านบาท
8.3.4. หาความรู้ก่อนลงทุน!
8.3.4.1. การซื้อหุ้นเองไม่เหมือนซื้อกองทุน กองทุนมีคนช่วยดูแลเงินของคุณ แต่ถ้าคุณซื้อหุ้นเอง คุณต้องมีความรู้ก่อน
8.3.4.2. มีโปรแกรมจำลองซื้อหุ้นอยู่ทั่วอินเทอร์เน็ต ลองเล่นในนั้นก่อนก็ดี ตั้งค่าให้เริ่มที่เงินสัก 100,000 แล้วลองซื้อหุ้นดูว่าเป็นยังไง
8.3.5. 5 เทคนิคเลือกหุ้นที่คนชอบใช้
8.3.5.1. ปาลูกดอกใส่ตารางหุ้น โดนตัวไหนซื้อตัวนั้น
8.3.5.1.1. ชีวิตคุณจะดีขึ้นมาก ถ้าคุณหันไปซื้อกองทุนแทน
8.3.5.2. เพื่อนบอก
8.3.5.2.1. หรืออาจเป็นคุณครูภาษาอังกฤษ หรือคุณลุง หรือป้าข้างบ้านบอก
8.3.5.2.2. ถ้าคนที่บอกเป็นคนชอบลงทุน เขาอาจพูดถูก คุณอาจลองหาข้อมูลเพิ่มดู
8.3.5.2.3. แต่อย่าซื้อหุ้นโดยไม่มีข้อมูลยืนยันว่าบริษัทดี แบบนี้ไม่นับ "Home Shopping... ได้ยินว่ารายใหญ่กำลังไล่เก็บหุ้น รีบซื้อก่อนหุ้นขึ้น"
8.3.5.3. เว็บไซต์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านลงทุน
8.3.5.3.1. ข้อนี้ดีกว่าเพื่อนบอก แต่คุณยังควรหาข้อมูลเองก่อนการตัดสินใจลงทุน
8.3.5.3.2. ปัญหาคือ บางครั้งผู้เชี่ยวชาญอาจเปลี่ยนความคิดเห็น แต่เขาไม่ได้กลับมาออกทีวีบอกคุณ คุณก็เลยยังถือหุ้นตัวที่ เขาแนะนำ ทั้งที่ตอนนี้เขาคิดว่ามันไม่ดีแล้ว
8.3.5.4. โบรคเกอร์แนะนำ
8.3.5.4.1. ขึ้นอยู่กับโบรคเกอร์ของคุณ โบรคเกอร์ที่ดีก็อาจให้คำแนะนำที่ดีได้
8.3.5.5. หาข้อมูลด้วยตัวเอง
8.3.5.5.1. นี่คือระดับสูงสุดของการลงทุน คุณซื้อหุ้นเพราะชอบบริษัท คุณชอบบริษัทเพราะคุณหาข้อมูลจนรู้ไส้รู้พุง
8.3.5.5.2. ยิ่งคุณหาข้อมูลเองได้ คุณยิ่งไม่ต้องพึ่งคำแนะนำจากเพื่อน คุณยังประเมินได้ว่าคำแนะนำไหนดีหรือมั่ว
8.3.5.5.3. มีข้อมูล 2 แบบ
8.3.6. เป็นเจ้าของมันดีอย่างนี้เอง
8.3.6.1. หุ้นคือสิทธิความเป็นเจ้าของบริษัท ดังนั้นถ้าคุณถือหุ้นตัวไหนสัก 1 หุ้น คุณจะได้สิทธิเทียบเท่ากับคนที่ถือหุ้นตัวนั้น 1 ล้านหุ้น
8.3.6.2. คุณจะได้รับเชิญไปงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี ซึ่งจัดกันในโรงแรมสุดหรู มีขนมกับกาแฟฟรี และคุณยังมีสิทธิ์โหวตตัดสินใจเรื่องสำคัญ อย่างเช่นใครจะเป็นกรรมการคนใหม่
9. ชีวิตและความตายของบริษัท
9.1. บริษัทตอนเป็นเด็กทารก
9.1.1. มีคนคิดไอเดียได้สักอย่างที่เอามาหาเงินได้
9.1.2. เช่น มีคนเปิดร้านขนมหวาน ขายดีจนคนต่อคิวกัน เจ้าของจึงเปิดบริษัทเพื่อให้ดำเนินกิจการง่ายขึ้น
9.2. บริษัทเข้าตลาดหุ้น
9.2.1. บริษัทปรับสูตรจนอร่อยได้ที่ มีทีมงานที่เชื่อใจได้ และพร้อมขยายสาขาเพิ่มอีก 20 สาขาทั่วประเทศ จึงเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นเพื่อระดมทุน
9.2.2. บริษัทจะขายหุ้นให้นักลงทุนบางคนที่ซื้อหุ้นแรกสุด แล้วเอาเงินนั้นไปขยายกิจการ
9.3. บริษัทตอนยังเป็นวัยรุ่น
9.3.1. บริษัทยังหนุ่มไฟแรง เต็มไปด้วยไอเดีย สายตามองไปยังอนาคต แต่ประสบการณ์ยังน้อยนัก
9.3.2. ช่วงนี้บริษัทยังไม่เสถียร ความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำบริษัทล้มละลายได้
9.3.2.1. ขนมหวานของบริษัทอาจมีคู่แข่งเยอะ เมื่อขยายสาขาไปจึงขายไม่ดีตามคาด ต้นทุนบานปลายแต่ยอดขายไม่โต
9.3.2.2. บริษัทอาจขยายสาขาเร็วไปจนระบบไม่พร้อม กลายเป็นคุณภาพอาหารต่ำลง ขนมไม่อร่อยเหมือนร้านเดิม ส่งผลกับชื่อเสียงจนคนเข้าร้านน้อยลง
9.3.3. ข้อดีคือช่วงนี้บริษัทจะโตเร็วมาก มันยังเล็กและหิวกระหาย มันขยายไปได้ทุกทิศทางและมีอนาคตที่ยาวไกล
9.4. บริษัทวัยกลางคน
9.4.1. บริษัทได้เติบใหญ่ขึ้น เรียนรู้จากความผิดพลาด มีเส้นทางที่ชัดเจน และพึ่งพาได้
9.4.2. บริษัทมีธุรกิจที่แข็งแกร่ง (ไม่งั้น คงไม่รอดมาจนป่านนี้) มีเงิน และมีความสัมพันธ์กับคู่ค้าและนายธนาคาร
9.4.3. บริษัทยังคงเติบโต แต่ช้าลง บริษัทต้องหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ยังกระฉับกระเฉง เพราะไม่งั้นคู่แข่งใจร้ายจะมาแย่งตลาดไป
9.5. บริษัทวัยชรา
9.5.1. บริษัทที่มีอายุหลายสิบหรือหลายร้อยปี ย่อมไม่ปึ๋งปั๋งเหมือนตอนยังหนุ่ม บริษัทเคยไปมาทุกที่ ทำมาทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ตื่นเต้นได้อีกแล้ว
9.5.2. ตอนนี้บริษัทโตช้ามาก หรือกำลังหดตัว หลายบริษัทยังประคองไปได้ แต่ธุรกิจก็ไม่ได้สดใสเหมือนก่อนอีกแล้ว
9.5.3. การลงทุนต้องอดทน แต่ความอดทนนั้นจะไม่ได้ประโยชน์ใด ถ้าคุณถือหุ้นบริษัทที่แก่ชราเกินไป
9.6. บริษัทตอนตาย
9.6.1. บริษัทตายทุกปี บางบริษัทตายตั้งแต่ยังหนุ่ม บางบริษัทตายตอนวัยกลางคน บางบริษัทแก่ตาย
9.6.2. บริษัทอาจตายแต่หนุ่มเพราะพยายามโตเร็วเกินไป กู้เงินมาขยายกิจการแล้วผิดพลาด จึงต้องเลิกกิจการ
9.6.3. บริษัทอาจตายตอนวัยกลางคน เพราะจู่ๆ สินค้าก็ล้าสมัย ลูกค้าเลิกซื้อ ไม่มีธุรกิจอีกต่อไป
9.6.4. บริษัทจะตายตอนที่ไม่มีเงินจ่ายเจ้าหนี้หรือพนักงาน โต๊ะเก้าอี้ถูกเร่ขาย ที่ดินหรือทรัพย์สินที่พอมีค่าจะถูกเปลี่ยนเป็นเงิน และเจ้าหนี้จะมาแย่งซากที่เหลือของบริษัทกัน