1. ทฤษฎีพัฒนาการทาสติปีญญาของเพียเจต์
1.1. พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปอีกขั้นหนึ่ง ไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจำทำให้เกิดผลเสียเเก่เด็ก เเต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่าสามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
1.2. การนำไปใช้ในการจัดการศึกษา / การสอน
1.2.1. 1.การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการดังต่อไปนี้ -ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ -ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น -ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ -ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน
1.2.2. 2.ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้ -มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน -พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ -ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อร่วมชั้น
2. ทฤษฎีทางสติปัญญาของบรุนเนอร์
2.1. เน้นความสำคัญของสิ่งเเวดล้อม วัฒนธรรมที่มีผลต่อการพัฒนาทางสติเเละปัญญา
2.1.1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีอิสระ ได้มีความคิดสร้างสรรค์ มีส่วนร่วมในกิจกรรม
2.2. แนวคิดการเรียนรู้ด้วยการค้นพบด้วยตัวเอง
2.2.1. สร้างเเรงจูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้ อยากทดลอง ลงมือทำ
2.3. การจัดทำสื่อการเรียนการสอนเพื่อกระตุ้น เด็กให้เข้าใจเเละเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
2.3.1. โครงสร้างบทเรียนต้องให้สอดคล้องเหมาะสมกับผู้เรียน
2.3.2. การสอนความคิดรวบยอด สรุปให้กับผู้เรียน เป็นสิ่งจำเป็น
3. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์
3.1. พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจหรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ 2 ลักษณะคือ 1. สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต 2. สัญชาตญาณเพื่อความตาย
3.2. ทฤษฎีพัฒนาการทางเพศของซิกมันด์ฟรอยด์
3.2.1. 1. เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เด็กมีการพัฒนาการด้านบุคลิกภาพที่เหมาะสมได้ เพราะหากเด็กมีปัญหาในแต่ละขั้นของพัฒนาการก็จะมีบุคลิกภาพผิดปกติ เช่น เด็กเกิดการชะงักที่ขั้นปาก ก็จะส่งผลต่อเด็กเมื่อโตขึ้น เช่น สูบบุหรี่
3.2.2. 2. ในขั้นอวัยวะเพศ เด็กเริ่มมีการสนในและเรียนรู้เรื่องของแตกต่างด้านเพศ เพราะฉะนั้นต้องให้ความรู้ด้านเพศที่ถูกต้องแก่เด็ก หากเด็กไม่ได้รับความรู้ที่ถูกต้อง หรือขาดต้นแบบที่ดีอาจทำให้เด็กเกิดการสับสนทางเพศ
3.2.3. 3. ครูผู้สอนสามารถนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศที่ถูกต้อง -เริ่มมีการสอนในเรื่องของบทบาทในสังคมที่ถูกต้อง -ในขั้นของเพศครูก็ควรหากิจกรรมเสริมต่างๆ ให้นักเรียนได้ทำ เช่น กิจกรรมกีฬา กิจกรรมดนตรี เป็นต้น เพื่อไม่ให้เด็กหมกมุ่นแต่ในเรื่องเพศ
4. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของกีเซลล์
4.1. ทฤษฎีวุฒิภาวะ
4.1.1. วุฒิภาวะเป็นปรากฏการณ์ที่กำเนิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างมีระเบียบโดยไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งเร้าภายนอก
4.2. เกณฑ์พัฒนาการ
4.2.1. พฤติกรรมทางการเคลื่อนไหว
4.2.2. พฤติกรรมทางการปรับตัว
4.2.3. พฤติกรรมทางด้านภาษา
4.2.4. พฤติกรรมทางสังคม-ตัวบุคคล
4.2.5. New Topic
4.3. ทฤษฎีพัฒนาการ
4.3.1. 1.ทิศทางของพัฒนาการ
4.3.1.1. พัฒนาการอวัยวะเคลื่อนไหวอย่างมีระเบียบตามเเนวนอนเเละเเนวขวาง
4.3.2. 2.การพัฒนาตามเเนวนอนเเละเเนวขวาง
4.3.2.1. เเนวนอน ร่างกายเจริญตามีเเนวนอนจากบนส่วนศีรษะลงส่วนล่างของร่างกาย
4.3.2.2. เเนวขวาง ร่างกายเจริญจากกลางลำตัวออกไปด้านข้าง
4.3.3. 3.พัฒนาการมีความสัมพันธ์กัน
4.3.3.1. ถ้าพฤติกรรมชนิดหนึ่งเจริญสูงอยู่อีกอย่างจะหยุดชะงัก
4.3.4. 4.พัฒนาการมีการใช้กิจกรรมร่วมกัน
4.3.4.1. การเปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมรวมไปสู่กิจกรรมเฉพาะ
4.3.5. 5.การพัฒนาต่างๆล้วนเป็นผลมาจากวุฒิภาวะ
4.3.5.1. การเจริญเติบโตไม่เท่ากัน หรือไม่เหมือนกัน เกิดจากความเเตกต่างของวุฒิภาวะ
4.4. การนำมาใช้
4.4.1. คำนึงให้เหมาะสมกับวุฒิภาวะของเด็ก จะดีเมื่อเด็กมีความพร้อม อย่าบังคับเด็กขณะไม่มีความพร้อมจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าเด็กที่มีความพร้อม
5. ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก
5.1. พัฒนาการ
5.1.1. 1.เริ่มมีจริยธรรม(อายุ2-10ปี)ทำตามสังคมกำหนดว่าดีหรือไม่ดีและมองผลการกระทำว่าได้รับความเจ็บปวดหรือพึงพอใจและจะทำตามกฎเกณฑ์ของผู้มีอำนาจ
5.1.1.1. ระดับการพัฒนาการ
5.1.1.1.1. ขั้นที่1(2-7ปี) เคารพเพื่อหลีกการลงโทษ
5.1.1.1.2. ชั้นที่2(7-10ปี) แสวงหารางวัล ความพอใจเท่านั้น สิ่งที่ตอบสนองความต้องการของตนเอง
5.1.2. 2.มีจริยธรรมตามกฎเกณฑ์และประเมินนิยม(อายุ10-16ปี)เริ่มทำตามความคาดหวังของครอบครัว สังคมและประเทศชาติ เป็นคนด้อยโอกาส หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ
5.1.2.1. ระดับพัฒนาการ
5.1.2.1.1. ขั้นที่3(10-13ปี)ทำตามผู้เห็นชอบ
5.1.2.1.2. ขั้นที่4(13-16ปี)ทำตามหน้าที่ทางสังคม
5.1.3. 3.มีจริยธรรมของตนเองอายุ16ปีขึ้นไปพยายามทำต่างไปจากกฎเกณฑ์สังคม
5.1.3.1. ระดับพัฒนาการ
5.1.3.1.1. ขั้นที่5 (16ปีขึ้นไป)คำนึงกฎที่เป็นประโยชน์ของสังคมและยอมรับกฎประชาธิปไตย
5.1.3.1.2. ขั้นที่6 (วัยผู้ใหญ่)จะตัดสินความถูกผิดจากสามัญสำนึกของตนเอง
5.2. การนำไปใช้ในการเรียนการสอน
5.2.1. พยายามสอนเด็กให้เด็กสามารถใช้สติปัญญาเป็นเครื่องตัดสินสิ่งต่างๆมากกว่าการไม่มีเหตุผล
6. • การให้ประสบการณ์แก่เด็กในการลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง
7. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของไวก็อตสกี้
7.1. ทฤษฎีของไวก็อตสกี้ได้จัดการเรียนรู้ เป็น 2ระดับ 1ระดับพัฒนาการที่เป็นจริง 2ระดับพัฒานาการที่สามารถจะเป็นไปได้
7.1.1. ระยะห่างระหว่างระดับพัฒนาการที่เป็นจริงและระดับพัฒนาการสามารถเป็นไปได้ เรียกว่าพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ
7.1.1.1. พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ เป็นบริเวณรอยต่อของความเข้าใจในเรื่องต่างๆ เ ด็กจะสามารถเข้าใจอะไรที่ยากเกินกว่าระดับทางสติปัญญาของตนเองได้ หากได้รับคำแนะนำปกติหรือชักจูงโดยใครบางคนที่มีสติปัญญาที่ดีกว่า
7.1.1.2. การเรียนรู้ในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ การเรียนรู้นำไปสู่พัฒนาการที่ดีขึ้นการพัฒนาการเกิดจากการเรียนรู้ มโนทัศน์ 2 ประเภทคือ มโนทัศน์โดยธรรมชาติและมโนทัศน์ที่เป็นระบบ
7.2. การนำไปใช้ในการจัดการเรียน การสอน
7.2.1. • สนับสนุนในสิ่งที่เด็กคิดอยากจะทำ
7.2.2. • การบอกเล่าประสบการณ์ หรือ ทำให้เห็น
7.2.3. • การจัดทำสื่อในการจัดการเรียน การสอน ให้อำนวยความสะดวก ให้การช่วยเหลือ แนะนำแก่เด็ก
8. ทฤษฎีจิตสังคมของอีริคสัน
8.1. เน้นพัฒนาการทางบุคลิกตั้งแต่เกิดจนถึงวัยชรา
8.1.1. เน้นการควบคุมตนอง ความคิดและการรู้จักตนเอง
8.1.2. เน้นการสร้างฐานแต่ละฐานให้แข็งแรงตั้งแต่ขั้นแรกจนถึงขั้นสุดท้าย
8.2. ทฤษฎีที่นำมาใช้คือ การอุตสาหะกับปมด้อย (Industry vs Inferiority) 6-12ปี เนื่องจากวัยนี้มีพัฒนาการด้านสติปัญญาและร่างกายอยู่ในขั้นที่มีความต้องการไม่เคยว่าง
8.2.1. เพื่อนจึงมีความหมายมากเพราะวัยนี้ชอบการทำงานการเปรียบเทียบ
8.2.2. เด็กวัยนี้ชอบกิจกรรมที่จะต้องการใช้ความคิด ความสามารถของตัวเอง
8.3. การนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
8.3.1. 1.ควรจัดกิจกรรมให้เด็กเรียนรู้เอกลักษณ์ของตัวเอง
8.3.2. 2.ควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเรียนเกี่ยวกับความใกล้ชิดกับคนใกล้ตัว
8.3.3. 3.เน้นการแสดงออกในด้านความคิด สติปัญญา ความสามารถและให้อิสระเด็ก
8.3.4. 4.ให้เด็กสร้างผลงานต่างๆด้วยตนเอง ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง
8.3.5. 5.ให้เด็กทดลองหรือเรียนรู้ภายในคาบเรียนว่าเด็กมีความชอบหรือความสนใจในด้านไหน
8.3.6. 6.การทำงานกลุ่มหรือกิจกรรมกลุ่มให้เด็กแต่ละคนมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในของตนเองเพื่อส่งเสริมให้เด็กรู้สึกมีส่วนร่วมในสังคม