
1. ผู้เขียน
1.1. ไบรอัน โมราน
1.1.1. นักธุรกิจและที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี
1.1.2. เคยทำงานด้านบริหารให้กับบริษัท UPS และ PepsiCo
1.1.3. ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทด้านการบริหาร The 12 Week Year
1.2. ไมเคิล เลนนิงตัน
1.2.1. ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารเวลา
2. คนดังๆ พูดถึงหนังสือเล่มนี้กันอย่างไร?
2.1. ซูซาน สกอต
2.1.1. "ไบรอันและไมเคิลทำให้ฉันเชื่อว่าฉันสามารถทำอะไรให้สำเร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมได้ ตอนนี้ฉันวางแผนทั้ง 12 สัปดาห์ของตัวเองเรียบร้อย"
2.2. ทอม เบิร์น
2.2.1. "12 week year คือระบบที่ทรงพลังในการบรรลุเป้าหมายทั้งเรื่องส่วนตัวและงาน ถ้าคุณอยากสร้างความเปลี่ยนแปลง คุณต้องอ่านหนังสือเล่มนี้"
3. แนวคิดในหนังสือเล่มนี้จะช่วยเราสร้าง Productivity ได้อย่างไร?
3.1. กฏของพาร์กินสันบอกว่า คนเรายิ่งมีเวลาทำงานมากเท่าไหร่ เราก็จะขยายเวลาทำงานออกไปเรื่อยๆ
3.2. ดังนั้นถ้าเราอยากทำงานให้เสร็จไว้ๆ แล้วเหลือเวลาไปใช้ทำงานอื่น ให้มากขึ้น เราต้องรู้จักกำหนดกรอบเวลาทำงานใหม่ให้ตัวเอง
3.3. แต่บริษัทและคนส่วนใหญ่ชอบกำหนดกรอบเวลาเป็นรายปี ทุกคนชอบพูดถึงแผนรายปีและปณิธานปีใหม่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว งานหลายอย่างสามารถทำเสร็จเร็วได้มากกว่านั้น
3.4. หนังสือเล่มนี้จึงเสนอวิธีกำหนดกรอบเวลาใหม่ให้เราทำงานเสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิม 4 เท่า จากเดิมเราใช้เวลา 12 เดือน ก็กำหนดใหม่เป็น 12 สัปดาห์
3.5. จากนั้นก็ใช้ระบบการทำงานที่เรียกว่า 12 Week Year เพื่อช่วยให้เราทำงานเสร็จทันตามกรอบเวลาใหม่นี้
4. จบปัญหาทำงานไม่เสร็จตรงเวลา ด้วยระบบการทำงาน 12 Week Year
4.1. The 12 Week Year คือระบบการทำงานที่จะช่วยให้เราทำงานได้เต็มศักยภาพที่สุดในแต่วัน โดยจะเร่งสร้างความสำเร็จให้เราได้ใน 12 สัปดาห์แทนที่จะเป็น 12 เดือน
4.1.1. เราจะรู้ว่างานอะไรที่สำคัญที่สุด แล้วจะเน้นทำงานนั้นให้สำเร็จ
4.1.2. แล้วสร้างความรู้สึกของความเร่งด่วน มาจูงใจให้เราลงมือทำตอนนี้เลย
4.2. ปัญหา = เรามีความรู้และเป้าหมาย แต่เราก็มักทำงานไม่เสร็จทันเวลา
4.2.1. คนส่วนใหญ่อาจเข้าใจผิดว่า...
4.2.1.1. "ฉันทำอะไรไม่เสร็จ เพราะขาดความรู้"
4.2.1.1.1. ความรู้ช่วยให้เราลงมือทำสิ่งต่างๆ ได้ก็จริง แต่ความรู้อย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ ถ้าเรายังไม่นำความรู้นั้นไปลงมือทำ
4.2.1.2. ฉันทำงานไม่เสร็จ เพราะขาดเป้าหมาย
4.2.1.2.1. ทุกคนมีเป้าหมาย แต่การทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จต้องอาศัยระบบการทำงาน มาช่วยบังคับให้เราทำสิ่งต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น
4.2.2. ต่อให้มีความรู้และมีเป้าหมาย หลายคนก็ยังทำงานไม่เสร็จตามเวลา เพราะพวกเขาขาดระบบมาช่วยบังคับให้ทำสิ่งต่างๆ ตามความรู้ที่มีให้เสร็จตามเป้าหมาย
4.2.3. Ex # การลดน้ำหนัก
4.2.3.1. เรามีเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนัก เรารู้ดีว่าต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหาร
4.2.3.2. ถึงเราจะรู้ไม่หมด เราก็มีหนังสือเต็มร้านให้เลือกอ่าน หรือมีกูเกิลให้ถามหาความรู้อยู่ดี
4.2.3.3. แต่คนส่วนใหญ่ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ เพราะไม่ยอมลงมือทำตามสิ่งที่รู้
4.2.3.3.1. ปัญหาไม่ใช่ความรู้หรือเป้าหมาย
4.2.3.3.2. ปัญหาตอนนี้คือ ระบบที่ช่วยให้เราทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ
4.3. วิธีแก้ = ระบบการทำงาน 12 Week Year จะช่วยให้เราทำงานเสร็จทันเวลาและเสร็จเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย
4.3.1. เส้นตายช่วยรีดศักยภาพในตัวเราได้
4.3.1.1. กฎของพาร์กินสัน (Parkinson’s Law) บอกว่า คนใหญ่จะไม่ยอมทำงานให้เสร็จก่อนเวลา ถ้าพวกเขายังมีเวลาทำงานเหลืออยู่
4.3.1.1.1. ถ้าเรามีเวลาทำงาน 1 เดือน เราก็จะพยายามทำงานให้เสร็จภายใน 1 เดือน
4.3.1.1.2. ถ้าเรามีเวลาทำงาน 1 สัปดาห์ เราก็จะพยายามทำงานให้เสร็จภายใน 1 สัปดาห์
4.3.1.2. การกำหนดเส้นตายจึงช่วยรีดศักยภาพในการทำงานของเราเพิ่มขึ้นได้
4.3.1.3. เวลาเราเจองานเร่งด่วนที่มีเส้นตายกระชั้น ถ้าเราอยากทำงานนั้นให้เสร็จทัน เราชอบเจอวิธีใหม่ๆ เพื่อทำมันให้สำเร็จได้
4.3.1.4. ระบบการทำงานให้สำเร็จใน 12 สัปดาห์จึงลดกรอบเวลาในการทำงานลงจาก 12 เดือนให้เหลือเพียง 12 สัปดาห์ เพื่อเร่ง Productivity ในการทำงานให้มากขึ้น
4.3.2. เราจะเลิกติดกับดักของแผนงานรายปี
4.3.2.1. คนและบริษัทส่วนใหญ่ชอบตั้งเป้าหมายเป็นรายปี
4.3.2.1.1. คน = ปณิธานปีใหม่
4.3.2.1.2. บริษัท = เป้าหมายประจำปี, รายงานประจำปี
4.3.2.2. แต่แผนงานรายปีก็เป็นกับดักให้เรารู้สึกชะล่าใจง่ายเกินไป
4.3.2.2.1. Ex # การทำงานในเดือนมกราคม
4.3.2.3. การลดกรอบเวลาจาก 12 เดือนเหลือ 12 สัปดาห์ จะช่วยให้เรารู้สึกชะล่าใจน้อยลงและรีบลงมือทำทันทีให้มากขึ้น
4.3.2.3.1. เราอาจขี้เกียจได้บ้างสัก 1 เดือน ถ้าเราใช้แผนงานรายปี แต่ถ้าเป็นแผนงาน 12 สัปดาห์ เราต้องใช้ทุกวันให้มีค่ามากที่สุด
5. 3 ความคิดพื้นฐานเพื่อใช้ระบบ 12 Week Year ให้ได้ผล
5.1. เราต้องรับผิดชอบสิ่งที่ทำ 100%
5.1.1. เราเต็มใจยอมรับว่าเราคือคนลงมือทำและพร้อมรับผลลัพธ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตามมา
5.1.2. เราเป็นเจ้าของตัวเลือกทุกอย่างในชีวิต แล้วเราจะเลือกทำในสิ่งที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายต่างๆ
5.2. ความมุ่งมั่นใช้ได้ผลมากกว่าความชอบ
5.2.1. ความมุ่งมั่นจะช่วยให้เราลงมือทำงานตามแผนที่มีจนสำเร็จได้
5.2.2. ความมุ่งมั่นใช้ได้ผลกว่าความชอบ
5.2.2.1. ถ้าเราใช้ความชอบ เราจะอยากทำแต่สิ่งที่เราชอบ
5.2.2.2. แต่ถ้าเราใช้ความมุ่งมั่น เราจะลงมือทำมันได้โดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ
5.2.3. ต่อยอดความมุ่งมั่นเป็นความสำเร็จ
5.2.3.1. ระบุงานชิ้นสำคัญที่สุด
5.2.3.1.1. หา "งานชิ้นสำคัญที่สุด" ให้เจอ นี่คืองานสำคัญที่มีผลต่อเป้าหมายใหญ่ของคุณ
5.2.3.2. ระบุทุกทรัพยากรที่ต้องใช้
5.2.3.2.1. เราควรรู้ทุกทรัพยากรที่ต้องใช้ ก่อนจะตัดสินใจจ่ายมันออกไป เพื่อทำเป้าหมายอะไรสักอย่างให้เป็นจริง
5.2.3.2.2. เราต้องใช้ "ชั่วโมงทำงาน" ต่อวันเท่าไหร๋
5.2.3.2.3. เราต้องใช้ "เงินทุน" เท่าไหร่
5.2.3.2.4. เราต้องใช้ "เวลาเจรจาต่อรอง" กับลูกค้ามากเท่าไหร่
5.2.3.3. จากนั้นจงลงมือทำทุกวัน ไม่หาข้ออ้างใดไว้ใช้แก้ตัว
5.3. ทำงานให้ดีที่สุดในตอนนี้ แล้วเราจะได้สิ่งที่ต้องการในตอนจบ
5.3.1. ความสำเร็จมี 2 ชนิดด้วยกันคือ
5.3.1.1. ตอนนี้
5.3.1.1.1. คุณทำงานให้ดีที่สุดในทุกวัน ถ้าคุณทำได้แบบนี้เรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้คุณจะสร้างความสำเร็จให้ชีวิตได้
5.3.1.2. ตอนจบ
5.3.1.2.1. คนส่วนใหญ่คิดว่า "นี่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่" "นี่คือความมหัศจรรย์"
5.3.2. คนส่วนใหญ่สนใจความสำเร็จใน "ตอนจบ" มากกว่าความสำเร็จใน "ตอนนี้"
5.3.2.1. แต่ถ้าเราตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดในทุกวัน เราจะค่อยๆ สะสมความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ราวกับเป็น "ดอกเบี้ยทบต้น"
5.3.2.2. เราจะค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จากพื้นฐานเดิมที่มีจนกระทั่งในวันหนึ่ง เราก็จะสร้างความสำเร็จครั้งใหญ่ในชีวิตได้จริงๆ
5.3.2.2.1. ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Compound Effect หรือพลังแห่งผลลัพธ์ทวี
5.3.3. อย่ามัวสนใจอดีตหรือผลลัพธ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่เราสามารถทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้
5.3.4. Ex # สุดยอดนักกีฬาว่ายน้ำ ไมเคิล เฟลปส์
5.3.4.1. คำสอนหนึ่งของบ็อบ โบวแมน โค้ชของไมเคิลก็คือ W.I.N.
5.3.4.1.1. W.I.N คือ What's important now? (สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คืออะไร?)
5.3.4.2. บ็อบสอนให้ไมเคิลต้องลงมือทำสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ไม่ว่าไมเคิลจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เขาต้องซ้อมว่ายน้ำทุกวันห้ามขาด
5.3.4.3. ครั้งเดียวที่ไมเคิลเลิกซ้อมเร็วได้ก็คือตอนที่เขาต้องเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในสมัยมัธยม
5.3.4.4. การทำลายสถิติโลกด้วยการคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกเดียวถึง 8 เหรียญอาจดูเป็นเรื่องมหัศจรรย์
5.3.4.5. แต่ที่ผ่านมาไมเคิล "ทำงานได้ที่ที่สุดในทุกวัน" ได้เสมออยู่แล้ว เขาซ้อมได้ดีทุกวันมาตลอดอยู่แล้ว
6. ลงมือทำงานให้สำเร็จด้วยระบบ 12 Week Year
6.1. วัดผลให้ได้
6.1.1. ทุกบริษัทล้วนใช้การวัดผลเป็นตัวเลขเพื่อประเมินผลงาน
6.1.1.1. KPI
6.1.1.2. ยอดขายรายเดือน/รายปี
6.1.1.3. จำนวนสินค้าที่ขายได้
6.1.2. การวัดผลจึงช่วยให้เรารู้ว่าเราเดินหน้าไปสู่เป้าหมายตามแผนจริงหรือไม่? และยังช่วยให้เรารู้ว่าเราทำงานสำเร็จหรือไม่ด้วย
6.1.3. วิธีใช้การวัดผลแบบมีประสิทธิภาพ
6.1.3.1. วัดผลจากความพยายาม ไม่ใช่วัดจากผลลัพธ์สุดท้าย
6.1.3.1.1. การวัดผลแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
6.1.3.1.2. เราต้องใส่ใจ "ตัววัดผลจากความพยายาม" ให้มาก เพราะมันจะช่วยบอกเราว่าแผนของเราดีหรือไม่ดี
6.1.3.2. หมั่นวัดผลบ่อยๆ
6.1.3.3. วัดคะแนนเป็นรายสัปดาห์
6.1.3.3.1. ถ้าเราทำงานสำเร็จไป 85% จากแผนงานในแต่ละสัปดาห์ เรามีโอกาสสูงมากที่จะทำแผนงาน 12 สัปดาห์นั้นสำเร็จ
6.1.3.3.2. ถ้าเราทำได้ต่ำกว่า 85%
6.1.3.3.3. ถ้าเราทำได้ 85% หรือมากกว่านั้น
6.1.4. ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
6.1.4.1. ถึงจะทำคะแนนได้ไม่ดีก็อย่าเพิ่งเลิกหรือถอดใจ
6.1.4.1.1. หลายคนพอทำคะแนนได้ไม่ดีก็มักเลิกใช้ระบบนี้ไป
6.1.4.1.2. ขอให้กล้าที่จะประเมินตามความเป็นจริง แล้วปรับปรุงคะแนนกับการทำงานให้ดีมากขึ้น
6.1.4.2. ถึงคะแนนจะไม่ถึง 85% ก็อย่าคิดว่าทำงานได้แย่เสมอไป
6.1.4.2.1. ตัวเลข 85% เป็นเพียงมาตรฐานที่เราตั้งไว้เพื่อให้เราทำผลงานให้ได้ดีที่สุด
6.1.4.2.2. ถ้าเราได้คะแนนน้อยกว่า 85% เช่น 65 หรือ 75 ขอให้ถามตัวเองก่อนว่าคะแนนเท่านี้สามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ไหม?
6.1.4.3. อย่าลืมกำหนดเวลาสำหรับให้คะแนนด้วย
6.1.4.3.1. ใส่เวลาสำหรับให้คะแนนลงไปในตารางงานรายสัปดาห์และรายวันด้วย
6.1.4.3.2. ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็เพียงพอแล้ว
6.2. ปกป้องเวลาและสมาธิ
6.2.1. เมื่อเราลดแผนงานจากเดิม 12 เดือนให้เหลือเพียง 12 สัปดาห์ นั่นแปลว่าเราต้องมีกลยุทธ์สำหรับจัดการเวลาและสมาธิให้คุ้มค่าที่สุด
6.2.2. งานวิจัยหนึ่งพบว่า เราเสียเวลาทำงานไป 28% กับสิ่งรบกวนสมาธิ เช่น อีเมล โทรศัพท์ การพูดคุย ฯลฯ
6.2.3. ใน1 วันทำงาน เราจะปกป้องเวลาและสมาธิ ด้วยแบ่งเวลาออกเป็น 3 แบบคือ
6.2.3.1. เวลาทำงานหลัก
6.2.3.1.1. คุณต้องจัดเวลา 3 ชั่วโมงสำหรับทำงานสำคัญโดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน
6.2.3.2. เวลาสำหรับงานไม่สำคัญ
6.2.3.2.1. จัดเวลา 1 ชั่วโมงต่อวัน
6.2.3.2.2. จัดเวลา 1 ชั่วโมงวันละ 2 ครั้ง
6.2.3.2.3. สำหรับจัดการงานเอกสารไม่สำคัญ อีเมล และอื่นๆ
6.2.3.3. เวลาสำหรับพักผ่อน
6.2.3.3.1. จัดเวลาสัปดาห์ละอย่างน้อย 1 ครั้งให้อยู่ห่างจากงาน
6.2.4. ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
6.2.4.1. อย่าทำงานหลายอย่างในช่วงเวลาทำงานหลัก
6.2.4.1.1. ยิ่งทำงานหลายอย่าง เราจะทำงานเสร็จช้าลงและทำงานไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร
6.2.4.2. อย่าปล่อยให้สิ่งรบกวนมาขโมยสมาธิและความสนใจจากงานไป
6.2.4.2.1. บิงโกขอแนะนำหนังสือ Indistractable ที่จะแนะนำวิธีจัดการสิ่งรบกวนสมาธิในรูปแบบต่างๆ
6.2.4.3. อย่าเผลอคิดว่าการที่ตัวเรามีงานยุ่งตลอดทั้งวันคือ การทำงานที่ Productive แล้ว
6.2.4.3.1. เราอาจเผลอเอาเวลาไปทำงานที่ไม่สำคัญอยู่ก็ได้
6.2.4.3.2. จงยึดตามแผนงานที่วางเอาไว้และจัดลำดับความสำคัญของงานให้ดี
7. คิดวางแผนด้วยระบบ 12 Week Year
7.1. ตั้งเป้าหมายให้สูงแล้วมองให้เห็นเป้าหมายในระยะยาว
7.1.1. เวลาตั้งเป้าหมาย เราควรดั้งเป้าหมายให้สูง แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง โดยคิดถึงกรอบเวลา 2 ตัว คือ
7.1.1.1. เป้าหมายไกลในระยะ 10 ปี
7.1.1.1.1. = คุณมองชีวิตส่วนตัวและงานใน 10 ปีข้างหน้าไว้อย่างไร?
7.1.1.1.2. จากนั้นให้ถามตัวเองต่อว่า "ถ้าจะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ ฉันต้องใช้อะไรบ้าง?
7.1.1.1.3. Ex # 10 ปีข้างหน้า ฉันจะเป็นเจ้าของแฟรนด์ไชส์ร้านก๋วยเตี๋ยว
7.1.1.2. เป้าหมายใกล้ในระยะ 3 ปี
7.1.1.2.1. = ถ้าอยากทำเป้าหมายไกลในระยะ 10 ปีสำเร็จ 3 ปีต่อจากนี้ ฉันต้องทำอะไรบ้าง?
7.1.1.2.2. Ex # ถ้าอีก 10 ปีข้างหน้า ฉันจะต้องเป็นเจ้าของแฟรนด์ไชส์ร้านก๋วยเตี๋ยว
7.1.1.3. จากเป้าหมายทั้ง 10 ปีและ 3 ปี เราต้องมาตีโจทย์ให้แตกว่า 12 สัปดาห์ต่อจากนี้ เราต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้เป้าหมายนั้นสำเร็จ
7.1.2. ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
7.1.2.1. อย่าตั้งเป้าหมายง่ายเกินไป
7.1.2.1.1. ถ้าเราตั้งเป้าหมายง่ายๆ พอเราทำสำเร็จ เราก็จะได้ความสำเร็จแค่เล็กน้อย
7.1.2.1.2. ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เรามีศักยภาพในตัวมากกว่านั้น เราสามารถสร้างความสำเร็จให้เหนือกว่าเป้าหมายง่ายๆ นั้นได้
7.1.2.2. จงแบ่งปันเป้าหมายให้คนอื่นรู้
7.1.2.2.1. การเล่าเป้าหมายให้คนอื่นได้รู้จะช่วยให้เรารับผิดชอบต่อคำพูดตัวเองมากขึ้น
7.1.2.2.2. จากนั้นเราก็ยิ่งพยายามมากขึ้นเพื่อทำให้เป้าหมายนั้นเป็นจริงได้
7.2. วางแผน 12 สัปดาห์
7.2.1. การวางแผนจะช่วยให้เรารู้จักบริหารเวลาแบบเชิงรุกและเน้นทำงานที่สำคัญจริงๆ
7.2.2. ถ้าเราไม่มีแผน เราจะทำงานไปเรื่อยๆ ตามแต่มีสิ่งใดเข้ามากระตุ้นแทนที่จะเอาเวลาไปทำในงานที่สำคัญจริงๆ เช่น
7.2.2.1. ลูกค้าอีเมลมาสั่งงาน เราก็ทำตามใบสั่งงานนั้น
7.2.2.2. เพื่อนร่วมงานอยากให้ช่วยทำสไลด์ เราก็ไปช่วยเขาทำ
7.2.3. แผนงาน 12 สัปดาห์นี้ควรจะมี...
7.2.3.1. เป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จ
7.2.3.1.1. Ex # หาทำเลทำร้านก๋วยเตี๋ยว
7.2.3.2. งานสำคัญที่ต้องลงมือทำ
7.2.3.2.1. Ex # ติดต่อนายหน้า
7.2.3.3. เวลาที่ต้องใช้ในแต่ละงาน
7.2.3.3.1. Ex # ติดต่อนายหน้า 5 วัน (3 คนเป็นอย่างน้อย)
7.2.4. ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
7.2.4.1. แผน 12 สัปดาห์ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
7.2.4.2. ระดมความคิดเพื่อหาแผนที่เหมาะสมแล้วเลือกทำงานที่ยากที่สุดก่อน
7.3. สร้างแผนควบคุมการทำงาน
7.3.1. การวางแผนงานไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่คนส่วนใหญ่มักจะพลาดในขั้นตอนที่ 3 นี้ พอพวกเขาไม่มีแผนควบคุมการทำงานที่ดีพอ พวกเขาก็ทำเป้าหมายที่มีไม่สำเร็จ
7.3.2. เราจะอาศัยแต่พลังใจ (Willpower) อย่างเดียวคงไม่สำเร็จ พลังใจนั้นมีจำกัด ใช้แล้วมันก็หมดไปได้
7.3.3. 3 เทคนิคง่ายๆ สำหรับควบคุมการทำงาน
7.3.3.1. ย่อยแผนงานเดิมให้เล็กลงเป็นแผนงานรายวันลงในตารางงาน
7.3.3.1.1. การย่อยแผนลงเป็นรายวันจะช่วยกำหนดให้เรารู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง
7.3.3.1.2. เมื่อกำหนดลงตารางงานแล้ว ให้คิดเสียว่างานนี้เป็นเหมือน "นัดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" เช่น นัดหมอ นัดลูกค้า
7.3.3.1.3. ถ้าเราทำตามแผนนี้สำเร็จ เราก็จะมีสัปดาห์การทำงานที่ยอดเยี่ยม
7.3.3.1.4. แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ เราก็ต้องหาวิธีปรับเปลี่ยนบางอย่างให้ดีขึ้น
7.3.3.2. นัดอัพเดทความคืบหน้าเป็นรายสัปดาห์
7.3.3.2.1. ลองหาใครสักคนมาเป็น "คู่หู" ที่คุณจะคอยอัพเดทความคืบหน้าของงานให้เขาฟัง
7.3.3.2.2. นัดคุยกันว่าคุณทำอะไรไปบ้าง งานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว
7.3.3.2.3. จากนั้นอัพเดทให้เขารู้ด้วยว่า สัปดาห์ต่อไป คุณจะทำและไม่ทำอะไร
7.3.3.2.4. "ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้เองด้วยตัวคนเดียว เราไปถึงเป้าหมายได้ด้วยความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอ"
7.3.3.3. อย่าเก็บเป้าหมายนั้นไว้ในใจ เขียนมันออกมาเตือนใจด้วย
7.3.3.3.1. งานวิจัยพบว่าวิธีนี้ช่วยให้คุณมีโอกาสทำเป้าหมายนั้นสำเร็จเพิ่มขึ้นถึง 70%
7.3.4. ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม
7.3.4.1. อย่ารวมงานทั้งหมดไว้ในแผนงาน
7.3.4.1.1. ตอนเติมแผนงานเป็นรายวันรายสัปดาห์ อย่ารวมทุกงานเล็กงานน้อยลงไป แต่ให้แยกออกมาต่างหาก แล้วค่อยจัดตารางงานสำหรับงานเล็กน้อยนั้น
7.3.4.2. อย่าคิดว่าทุกสัปดาห์ต้องมีแผนงานเหมือนๆ กัน
7.3.4.2.1. หลายคนชอบวางแผนงานแค่สัปดาห์เดียว แล้วก็ลอกๆ ไปต่อในสัปดาห์อื่นๆ
7.3.4.2.2. แต่จริงๆ แล้วแผนงานแต่ละสัปดาห์ไม่ควรเหมือนกันได้ขนาดนั้น
8. สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อใช้ระบบ 12 Week Year
8.1. สัปดาห์ที่ 1-4
8.1.1. หลายคนเจอปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่นี้
8.1.2. เราต้องปรับตัวให้เร็วและรีบสร้างกิจวัตรประจำสัปดาห์โดยการทำ 3 สิ่งนี้เป็นนิสัย
8.1.2.1. วางแผนว่าสัปดาห์นี้จะทำอะไร
8.1.2.2. ให้คะแนนการทำงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา
8.1.2.3. คุยอัพเดทความคืบหน้ากับคู่หูทุกสัปดาห์
8.1.3. สัปดาห์แรกมักหมดไปกับการวางแผนงานและการตั้งเป้าหมาย ส่วนในสัปดาห์ที่ 2-4 ให้เน้นสร้างกิจวัตรประจำสัปดาห์ให้ตัวเอง
8.2. สัปดาห์ที่ 5-8
8.2.1. หมดช่วงเวลาโปรโมชั่นที่หลายคนชอบทดลองอะไรสนุกๆ กับแนวคิดหรือระบบใหม่ๆ แล้วก็ล้มเลิกไป อย่าเพิ่งยอมแพ้ตอนนี้
8.2.2. ในช่วงที่ 2 นี้ เราควรเห็นความคืบหน้าของตัววัดผลจากความพยายามและตัววัดผลจากผลลัพธ์บ้างแล้ว
8.2.3. เราควรพัฒนาคะแนนรายสัปดาห์จนถึง 85% และเริ่มมองเห็นเป้าหมายปลายทางบ้างแล้ว ถ้ายังให้รีบแก้ไขแผน
8.3. สัปดาห์ที่ 9-12
8.3.1. เมื่อมาถึงโค้งสุดท้าย ต่อให้เราทำไม่สำเร็จตามเป้าหมาย แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้การใช้ระบบ 12 Week Year แล้ว
8.3.2. จงใช้ประสบการณ์ตลอด 12 สัปดาห์ เพื่อพัฒนาการทำงานในอีก 12 สัปดาห์ข้างหน้าต่อไป
8.3.3. ถ้าเราทำสำเร็จตามเป้าใน 12 สัปดาห์ จงใช้เวลาในสัปดาห์ที่ 13 เพื่อเฉลิมฉลองกับความสำเร็จให้เต็มที่ แล้วค่อยเริ่มการทำงานในอีก 12 สัปดาห์ถัดไป