
1. ผู้เขียน
1.1. ปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch)
1.1.1. เขียนหนังสือ One up on Wall Street, Learn to Earn, Beating the Street
1.1.2. เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เก่งกาจที่สุดในโลก และมีสไตล์การลงทุนที่ยืดหยุ่น ปรับตัวตามสถานการณ์
1.1.3. ได้เป็นผู้จัดการกองทุน Fidelity Magellan ตั้งแต่อายุ 33 ปี
1.1.4. ผลตอบแทนที่ทำได้ = ปีละ 29.2% ต่อเนื่องกัน 13 ปี
2. ข้อคิดสำคัญ
2.1. คนทั่วไปลงทุนได้ผลตอบแทนสูงกว่า "นักลงทุนมืออาชีพ" ได้ง่ายๆ ถ้าคุณรู้วิธี
2.2. ลองหาหุ้นโดยดูจากสินค้า/บริการที่ คุณใช้ประจำ หรือจากงานที่คุณทำ
2.3. ถ้าคุณเลือกหุ้นได้ดี คุณควรถือหุ้น 100% โดยไม่ต้องปวดหัวกับการ ทำนายว่า "จะเกิดวิกฤติเมื่อไร"
2.3.1. ไม่มีใครทำนายวิกฤติได้แม่นยำ คุณไม่ต้องทำนายเลยจะง่ายกว่า
2.3.2. ถ้าคุณถือหุ้น 100% และเลือกหุ้นได้ดี จะกำไรมากกว่าในระยะยาว
2.4. หุ้นมี 6 ชนิด: หุ้นโตเร็ว หุ้นโตช้า หุ้นแข็งแกร่ง หุ้นวัฏจักร หุ้นฟื้นฟู และหุ้นทรัพย์สินมาก
2.4.1. ก่อนลงทุน คุณต้องรู้ว่าหุ้นของคุณเป็นแบบไหน และขายทันทีเมื่อมันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว (ซื้อหุ้นโตเร็ว ขายเมื่อโตช้าลง)
2.5. อย่าเล่นหุ้นที่กองทุนชอบซื้อ อย่าเล่นหุ้นที่กำลังร้อนแรง เพราะหุ้นพวกนี้ราคาขึ้นไปสูงแล้ว
2.5.1. โอกาสดีๆ มักอยู่ในหุ้นที่คนมองข้ามไป
3. คนทั่วไปลงทุนได้ผลตอบแทนสูงกว่า "นักลงทุนมืออาชีพ" (กองทุน) ได้ง่ายๆ
3.1. กองทุนต้องมักไม่ได้ลงทุนเต็มที่ เพราะต้องคอยเอาใจลูกค้า
3.1.1. ต้องเสียเวลาคอยอธิบายว่า ทำไมซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ ไม่ได้เอาเวลาไปทำงาน
3.1.2. พอหุ้นขึ้น ลูกค้าชอบซื้อกองทุน พอหุ้นลง ลูกค้าชอบขายกองทุน
3.1.2.1. เมื่อลูกค้าซื้อกองทุน "หลังจากหุ้นขึ้น" กองทุนก็จำเป็นต้องซื้อหุ้นในราคาสูง
3.1.2.2. เมื่อลูกค้าขายกองทุน "หลังจากหุ้นลง" กองทุนก็จำเป็นต้องขายหุ้นในราคาต่ำ
3.1.2.3. กองทุนจึงถูกบังคับให้ "ซื้อแพง ขายถูก"
3.2. ผู้จัดการกองทุนไม่ได้สนใจทำให้คุณรวย
3.2.1. ผู้จัดการกองทุนเป็นพนักงานเงินเดือน เขาแค่อยากเลื่อนตำแหน่ง แล้วก็ไม่โดนไล่ออก
3.2.2. ผู้จัดการกองทุนชอบลงทุนในหุ้น "กลางๆ" ซึ่งให้ผลตอบแทนไม่มาก
3.2.2.1. เวลาหุ้นขึ้นเยอะ ผู้จัดการกองทุนไม่ได้อะไร แต่เวลาหุ้นลงเยอะจะโดนลูกค้าด่า
3.2.2.2. ผู้จัดการกองทุนจึงชอบซื้อหุ้นที่ "เวลาลง ลงน้อย" ซึ่งก็กลายเป็น "เวลาขึ้น ขึ้นน้อย" เช่นกัน
3.2.2.3. เขาทำแบบนี้เพื่อปกป้องตัวเองไว้ก่อน
3.2.3. ผู้จัดการกองทุนชอบซื้อหุ้นตามๆ กัน ไม่ว่าหุ้นนั้นจะดีหรือไม่ดี
3.2.3.1. เวลาซื้อหุ้นตามกันแล้วขาดทุน ผู้จัดการกองทุนจะอ้างได้ว่า "หุ้นตัวนี้ คนอื่นเขาก็มีกัน"
3.2.3.2. มีคำพูดกันว่า "ไม่มีใครตกงาน จากการเอาเงินลูกค้าไปขาดทุนกับหุ้น IBM" เพราะเป็นหุ้นที่กองทุนอื่นก็มีกัน
3.2.3.2.1. คงเหมือนกับในไทยที่กองทุนชอบซื้อ "หุ้นยอดนิยม" เช่น ADVANC, PTT, BH ถึงแม้จะไม่ค่อยได้กำไร
3.3. กองทุนส่วนใหญ่ได้ผลตอบแทน น้อยกว่าค่าเฉลี่ย
3.3.1. กองทุนมีขนาดใหญ่ จึงถูกบังคับให้ลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าหุ้นบริษัทเล็ก
3.3.1.1. ถ้ากองทุนมีขนาด 10,000 ล้านบาท คุณจะซื้อหุ้นสัก 10 ล้านบาทก็ไม่ได้ส่งผลมาก กองทุนจึงต้องซื้อหุ้นทีละเยอะๆ และกลายเป็นต้องซื้อหุ้นบริษัทใหญ่
3.3.2. จากสถิติ โดยเฉลี่ยแล้วกองทุนให้ผลตอบแทน น้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น
3.3.2.1. จากสถิติแล้วไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่ต่อเนื่องกันเป็นสิบๆ ปี
4. ทุกคนมีความรู้สำคัญอยู่กับตัว ที่จะช่วยให้พวกเราเป็นนักลงทุนที่เก่งกาจ
4.1. นักลงทุนที่ดีไม่ใช่ "อัจฉริยะด้านการเงิน" แต่เป็น "คนที่รู้จักธุรกิจ"
4.1.1. ราคาหุ้นขึ้นลงตามธุรกิจของบริษัทนั้นๆ
4.1.2. คุณแค่ต้องรู้ว่าบริษัทไหนทำธุรกิจได้ดี แล้วก็ซื้อหุ้นบริษัทนั้น จบ!
4.1.3. เช่น
4.1.3.1. รู้ว่าร้านอาหารร้านไหนขายดี จึงซื้อหุ้นร้านนั้น
4.1.3.2. รู้ว่าน้ำราคาน้ำมันกำลังจะขึ้น จึงซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน
4.1.3.3. รู้ว่าแอพไหนคนใช้เยอะ จึงซื้อหุ้นบริษัททำแอพนั้น
4.2. ข้อมูลจากชีวิตประจำวันของคุณ ช่วยบอกได้ว่าธุรกิจไหนกำไรดี และหุ้นตัวไหนจะดีด้วย
4.2.1. เราทุกคนรู้ว่าสินค้าไหนขายดี จากสินค้า/บริการที่เราใช้ทุกวัน
4.2.1.1. เช่น
4.2.1.1.1. ห้างฯที่เราเดินทุกวัน
4.2.1.1.2. ร้านอาหารที่เราทานบ่อย
4.2.1.1.3. ร้านสะดวกซื้อที่เราซื้อประจำ
4.2.1.1.4. แบรนด์เสื้อผ้าที่มาแรง
4.2.1.1.5. เกมที่เราชอบเล่น
4.2.1.1.6. แอพที่เราใช้บ่อย
4.2.1.2. ถ้าเราซื้อสินค้า/บริการไหนบ่อยๆ แสดงว่าบริษัทนั้นน่าจะกำไรดีด้วย
4.2.2. เราทุกคนรู้ว่าบริษัทขายสินค้าได้ดี จากงานที่เราทำ
4.2.2.1. เช่น
4.2.2.1.1. เราอาจทำงานในร้านขายของ และเห็นว่าสินค้าไหนขายดี
4.2.2.1.2. เราอาจเป็นวิศวกร และเห็นว่าเครื่องจักรของบริษัทไหนทนทาน
4.2.2.1.3. เราอาจเป็นหมอพยาบาล และสังเกตว่าอุปกรณ์หรือยาจากบริษัทไหน ราคาแพง/ต้องซื้อบ่อยๆ
4.2.2.2. บริษัทไหนขายของได้มาก ก็น่าจะกำไรดีเช่นกัน
4.2.3. นี่เป็นข้อมูลที่คุณรู้ก่อนนักลงทุนห้องแอร์ (ซึ่งไม่ได้เจอของจริงเหมือนคุณ!)
4.2.4. นี่เป็นข้อมูลราคาแพงที่นักลงทุนมืออาชีพ ยอมจ่ายเงินเป็นล้านให้บริษัทหาข้อมูล แต่คุณกลับได้มาฟรี!
4.2.5. ข้อควรระวัง
4.2.5.1. ถ้าสินค้าที่คุณชอบเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของบริษัทที่ผลิต หุ้นตัวนั้นก็อาจไม่ดีอย่างที่คาด
4.2.5.1.1. เช่น ถ้าคุณชอบร้านอาหาร ABC แต่ยอดขายของร้านอาหาร ABC เป็นแค่ 1% ของบริษัท หุ้นตัวนั้นอาจยังไม่ใช่
4.2.5.2. คุณอาจชอบสินค้านั้นอยู่คนเดียว ต้องเช็คด้วยว่าสินค้านั้นเป็นที่นิยมจริงๆ หรือเปล่า
4.2.5.3. อย่าลืมดูงบการเงินเพื่อยืนยัน
4.2.5.3.1. เช็คว่าบริษัทมีกำไรเติบโตไหม
5. :three: :bulb: หุ้น 6 ชนิดของปีเตอร์ ลินช์
5.1. หุ้นที่ดีแทบทุกตัวในโลก จะต้องเข้าข่ายสักข้อใน 6 ชนิดนี้
5.2. หุ้นแต่ละตัวมีลักษณะต่างกัน ก่อนลงทุนคุณจึงต้องแบ่งชนิด และเข้าใจลักษณะของหุ้นที่คุณสนใจก่อน
5.3. ขายหุ้นทันทีเมื่อมันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว (ซื้อหุ้นโตเร็ว ขายเมื่อโตช้าลง)
5.4. หุ้นหนึ่งตัวอาจเป็นได้หลายชนิดพร้อมกัน และอาจเปลี่ยนชนิดได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป (เช่น จากหุ้นโตเร็ว กลายเป็นหุ้นโตช้า)
5.5. หุ้นทั้ง 6 ชนิด
5.5.1. รวยเร็ว
5.5.1.1. หุ้นโตเร็ว (Fast Grower)
5.5.1.1.1. คือธุรกิจที่เติบโตเร็ว อย่างน้อยปีละ 20%
5.5.1.1.2. ราคาหุ้นแพง
5.5.1.1.3. ขายทันทีเมื่อบริษัทเติบโตช้าลง
5.5.1.1.4. คำถามเงินล้าน
5.5.1.2. หุ้นวัฏจักร (Cyclical)
5.5.1.2.1. คือหุ้นที่มีกำไรขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจ
5.5.1.2.2. หุ้นวัฏจักร (Cyclical) ที่แกว่งแรงที่สุดจะเป็นพวกสินค้าโภคภัณฑ์
5.5.1.2.3. จังหวะซื้อขาย ต้องซื้อตอนหุ้นอยู่ช่วงขาลง และขายตอนช่วงขาขึ้น
5.5.1.2.4. นี่ไม่ใช่การลงทุนแบบ Value Investing (VI) นี่คือการเก็งกำไรแบบมีหลักการ
5.5.1.3. หุ้นฟื้นตัว (Turnaround)
5.5.1.3.1. คือหุ้นของบริษัทที่ย่ำแย่ และมีโอกาสล้มละลาย แต่บริษัทพลิกฟื้นขึ้นมาจนเป็นปกติได้สำเร็จ
5.5.1.3.2. ลักษณะ
5.5.1.3.3. คำถามเงินล้าน
5.5.2. รวยช้า
5.5.2.1. หุ้นโตช้า (Slow Grower)
5.5.2.1.1. บริษัทใหญ่ อยู่ในธุรกิจที่อิ่มตัว โตช้า (1%-4%)
5.5.2.1.2. ราคาหุ้นไม่ค่อยขึ้น ถ้าจะซื้อก็ต้องเลือกตัวที่ให้เงินปันผลสูง
5.5.2.1.3. ปีเตอร์ ลินช์ ไม่ชอบหุ้นกลุ่มนี้ เพราะผลตอบแทนน้อย
5.5.2.2. หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwart)
5.5.2.2.1. บริษัทใหญ่ แข็งแรงมั่นคง
5.5.2.2.2. โตไม่เร็วมาก แต่ไม่ถึงกับช้า (โตปีละ 10%-12%)
5.5.2.2.3. ถ้าหุ้นกลุ่มนี้ขึ้นมาแรงๆ สัก 30%-50% ให้ขายทำกำไร แล้วรอมันลงค่อยซื้อใหม่
5.5.3. อาจรวยเร็วหรือช้า
5.5.3.1. หุ้นทรัพย์สินมาก (Asset Play)
5.5.3.1.1. คือหุ้นที่ราคาหุ้นต่ำกว่า ทรัพย์สินสุทธิของบริษัท
5.5.3.1.2. บางครั้งบริษัทมีทรัพย์สินที่มีค่ามาก แต่ลงบัญชีไว้ไม่ตรงกับมูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนส่วนใหญ่จึงมองข้ามไป
5.5.3.1.3. ทรัพย์สินที่แฝงอยู่เป็นได้หลายอย่าง
5.5.3.1.4. ข้อควรระวัง: บางบริษัทมีทรัพย์สินมากก็จริง แต่ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้น อยู่นิ่งๆ เป็นปี
5.5.3.1.5. เบนจามิน เกรแฮม ผู้เขียนหนังสือ The Intelligent Investor ชอบหุ้นแนวนี้
5.5.3.1.6. ช่วงแรกที่บริษัทเข้าตลาดหุ้น บริษัท ปตท. มีสัมปทานน้ำมันที่ยังไม่ได้นำมาใช้ทำกำไรอยู่มาก ราคาหุ้นจึงต่ำกว่ามูลค่าสัมปทาน ต่อมาบริษัทเริ่มใช้ประโยชน์จากสัมปทานมากขึ้น ราคาหุ้นสูงขึ้นหลายสิบเท่า
6. :four: : หุ้น 10 เด้ง (Ten Baggers)
6.1. หุ้น 10 เด้ง คือหุ้นที่คุณซื้อแล้วราคาสูงขึ้นเกิน 10 เท่า
6.1.1. หุ้น 10 เด้งคือความฝันของนักลงทุน
6.1.2. ขอหุ้นแบบนี้สัก 3 ตัว คุณก็รวยแล้ว (เงิน 1 ล้านจะกลายเป็น 1,000 ล้าน)
6.2. ลักษณะ 10 ข้อของหุ้น 10 เด้ง
6.2.1. ชื่อแปลกหรือน่าเบื่อ
6.2.1.1. นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองข้ามหุ้นนี้ จึงมีโอกาสให้คุณซื้อได้ราคาต่ำ
6.2.2. ทำธุรกิจที่น่าเบื่อ
6.2.3. ทำธุรกิจที่คุณไม่คิดว่าทำได้
6.2.3.1. นักลงทุนหลายคนจะระวังตัวไม่ซื้อหุ้นนี้ จนกว่าหุ้นนี้จะกลายเป็นที่สนใจขึ้นมา
6.2.3.1.1. เช่น ตอนแรกที่ Facebook ยังไม่มีกำไร ก็ไม่มีใครคิดว่าโซเชียลมีเดียจะทำเงินได้ขนาดนี้ ถ้าคุณซื้อหุ้น Facebook ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้จะกำไรเยอะมาก
6.2.4. กองทุนยังไม่ได้ซื้อ ยังไม่มีนักวิเคราะห์ติดตาม
6.2.4.1. ถ้ากองทุนสนใจขึ้นมา ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงภายหลัง
6.2.5. ทำธุรกิจที่น่าหดหู่
6.2.5.1. เช่น บริษัททำสุสาน อาจมีกำไรดี แต่ไม่มีใครสนใจ คุณจะซื้อได้ในราคาต่ำ
6.2.6. บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โต
6.2.6.1. ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต บริษัทใหญ่ต่างพยายามเข้ามาในธุรกิจนี้ การแข่งขันจึงสูง ทำให้กำไรลดลง
6.2.6.2. นักลงทุนส่วนใหญ่มักสนใจหุ้นในอุตสาหกรรม ที่กำลังเติบโต จึงพากันดันราคาหุ้นขึ้นไป คุณแทบไม่มีโอกาสซื้อหุ้นในราคาถูกเลย
6.2.7. บริษัทมี Niche (หรือที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียกว่า "คูเมือง" หรือ "Moat")
6.2.7.1. คู่แข่งจึงไม่สามารถมาแย่งลูกค้าได้ง่ายๆ
6.2.8. ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
6.2.8.1. เช่น ธุรกิจที่ให้สมัครสมาชิก (Subscription) จะมีรายได้ค่อนข้างแน่นอน และเติบโตได้สม่ำเสมอ
6.2.8.2. อย่างบริษัทสร้างบ้านขาย ลูกค้าไม่จำเป็นต้องกลับมาซื้อซ้ำ จึงต้องคอยหาลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ
6.2.9. ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซื้อ
6.2.9.1. ผู้บริหารคือคนที่รู้เกี่ยวกับบริษัทมากที่สุด ถ้าเขาซื้อ แสดงว่าเขาเห็นอะไรดีๆ
6.2.9.2. คนเรามีหลายเหตุผลที่จะขายหุ้น แต่มีเหตุผลเดียวที่จะซื้อ
6.2.10. บริษัทซื้อหุ้นตัวเองคืน
6.2.10.1. แสดงว่าบริษัทมั่นใจในอนาคตของตัวเอง
7. :five: หุ้น 10% (Reverse Ten Baggers)
7.1. หุ้น 10% คือหุ้นที่คุณซื้อแล้วราคาเหลือ 10% ของที่ซื้อ
7.1.1. ถ้าคุณเจอแบบนี้ แทบไม่ต่างจากการที่ การลงทุนนั้นกลายเป็น 0
7.1.2. พยายามหลีกเลี่ยงหุ้นพวกนี้
7.2. ลักษณะ 5 ข้อของหุ้น 10%
7.2.1. บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรง
7.2.1.1. ทุกคนจะพยายามเข้ามาแข่งกับบริษัทนี้ และจะตัดราคากันจนแทบไม่มีใครมีกำไร
7.2.2. มีคนเชียร์ว่าจะกลายเป็นบริษัทแห่งอนาคต "The Next Big Thing"
7.2.2.1. พอคนเชียร์หุ้นตัวไหนเยอะๆ ราคาจะพุ่งขึ้นสูง แต่มีน้อยบริษัทที่จะกลายเป็นบริษัทแห่งอนาคต ได้ตามความคาดหวัง
7.2.3. บริษัทขยายไปทำธุรกิจที่ตัวเองไม่ถนัด
7.2.3.1. แสดงว่าบริษัทไม่สามารถเติบโตในธุรกิจเก่าได้แล้ว
7.2.3.2. มีโอกาสที่ธุรกิจเก่ากำลังมีปัญหา จึงต้องพยายามหาธุรกิจใหม่ ซึ่งก็ทำได้ไม่ดี
7.2.3.3. ธนาคารขายประกัน -> ok บริษัทกระดาษทำเครื่องถ่ายเอกสาร -> ไม่ ok
7.2.4. มีลูกค้าคนเดียว
7.2.4.1. เช่น บริษัทนำเข้าเครื่องจักร แล้วขายให้ลูกค้ารายเดียว
7.2.4.2. ถ้าลูกค้าเลิกซื้อ บริษัทจะเจ๊งไปเลย
7.2.5. มีข่าวลือ
7.2.5.1. หุ้นแบบนี้อาจมีคนปั่น ทำให้ราคาขึ้นไปสูงลิบ และราคาร่วงได้เร็วเช่นกัน
8. :six: กลยุทธ์การลงทุน
8.1. นำเงินส่วนใหญ่มาซื้อหุ้น
8.1.1. หุ้นคือทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด คุณจึงควรซื้อหุ้นเป็นหลัก
8.1.2. นักลงทุนบางคน รวมทั้งปีเตอร์ ลินช์ ใช้เงินทั้งหมดซื้อหุ้น โดยไม่เหลือเงินสดเลย (หุ้น 100%)
8.1.2.1. เวลาได้กำไร จะได้มาก
8.1.2.2. เวลาเสีย จะเสียมาก
8.1.2.3. ในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนสูง
8.1.2.4. เหมาะกับคนที่ชำนาญในการลงทุน
8.1.2.5. ความคิดเห็นของบิงโก
8.1.2.5.1. การถือหุ้น 100% เหมาะกับคนที่มั่นใจในการเลือกหุ้น ของตัวเอง ต่อให้ราคาหุ้นลงแรง ในระยะยาวหุ้นนั้นก็จะกลับมาได้
8.1.2.5.2. คนที่ไม่มั่นใจในการเลือกหุ้นของตัวเอง อาจลดความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นในสัดส่วนน้อยลง
8.1.3. เงินที่ซื้อหุ้น ต้องคิดเผื่อว่าจะไม่เอาออกมาใช้อย่างน้อย 5 ปี เพราะตลาดหุ้นผันผวนมาก
8.1.3.1. ไม่อย่างนั้น คุณอาจต้องขายหุ้นในราคาขาดทุน เพื่อนำออกมาใช้จ่าย
8.2. ถ้าตัวธุรกิจยังดีอยู่ อย่าขายหุ้นเพียงเพราะ คุณทำนายว่าราคาหุ้นกำลังจะลงในระยะสั้น
8.2.1. ให้มองการซื้อหุ้นเป็นการซื้อธุรกิจ
8.2.2. เวลาเกิดฟองสบู่ก็ไม่ต้องขายหุ้น
8.2.2.1. ฟองสบู่บางลูกสามารถอยู่ได้นานหลายปี และโตขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะแตกในที่สุด
8.2.2.2. ถ้าคุณมัวแต่ทำนายว่าฟองสบู่จะแตก แล้วมันมาแตกในอีก 7 ปีให้หลัง ระหว่างนี้คุณจะไม่ได้ลงทุนเลย แล้วได้แต่ดูคนอื่นรวยกันหมด
8.2.2.3. วิธีที่ง่ายกว่าคือ คุณปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วยอมโดนฟองสบู่แตกไปเลยดีกว่า
8.2.2.3.1. คุณจะเก็บกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และขาดทุนจากฟองสบู่ 30-50%
8.2.3. เวลาใกล้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ไม่ต้องขายหุ้น
8.2.3.1. จากสถิติแล้ว มีโอกาสน้อยมาก ที่คุณจะทำนายวิกฤติเศรษฐกิจได้อย่างแม่นยำ
8.2.3.2. ทุกครั้งที่คุณ "ขายหุ้นเผื่อหุ้นตก" แล้วหุ้นมันขึ้นต่อ คุณจะขาดทุนกำไรไป 30-40%
8.2.3.3. ถ้าคุณทำนายวิกฤติผิดไป 5 ครั้ง คุณจะมีเงินเหลือแค่ 20% ของที่ควรจะมี (พลาดกำไรไปเยอะ)
8.2.3.4. วิธีที่ง่ายกว่าคือ คุณปล่อยให้หุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วยอมโดนวิกฤติเศรษฐกิจหนึ่งครั้งในรอบ 10 ปีดีกว่า
8.2.3.4.1. คุณจะเก็บกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และขาดทุนจากวิกฤติ 30-50% ในรอบ 10 ปี
8.2.4. เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจก็ไม่ต้องขายหุ้น
8.2.4.1. ถ้าหุ้นลงหนัก คุณขายตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว เพราะหุ้นมันลงมาเยอะแล้ว
8.2.4.2. ให้รอสักนิด แล้วราคาหุ้นจะกลับขึ้นมาเอง ดีกว่าขายในราคาต่ำ
8.3. หมั่นอัพเดทข้อมูลว่าหุ้นที่เราถือ ยังเป็นหุ้นที่ดีอยู่ไหม ถ้าไม่ใช่แล้วก็ให้ขาย แต่ถ้าใช่ก็ถือต่อไป
8.3.1. ขายหุ้นก็ต่อเมื่อหุ้นของเรา ไม่ใช่หุ้นที่ดีอีกต่อไป (พื้นฐานธุรกิจเปลี่ยน)
8.3.2. เมื่อขายเสร็จก็ให้หาหุ้นตัวอื่น มาทดแทน (พยายามถือหุ้นตลอดเวลา)
8.4. เป็นนักลงทุนระยะยาว
8.4.1. ถ้าให้คุณซื้อหุ้นถูกตัว ในราคาที่ถูกต้อง ในระยะยาวคุณจะกำไรเสมอ
8.4.2. เวลาตลาดหุ้นตก อย่าตกใจรีบขาย ให้ถือไว้ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวมันก็กลับมา
8.4.2.1. กองทุน Fidelity Magellan ที่ปีเตอร์ ลินช์ บริหาร ให้ผลตอบแทน 29.2% ต่อปี ต่อเนื่องกัน 13 ปี แต่คนที่ซื้อกองทุนนี้ส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะพวกเขาชอบขายตอนตลาดหุ้นตก (ซื้อแพงขายถูก)
8.5. อย่าทำนายว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อไร
8.5.1. ไม่มีใครที่ทำนายวิกฤติเศรษฐกิจได้แม่นยำตลอด วิธีที่ง่ายกว่าคือไม่ต้องทำนาย แล้วถือหุ้นไปเรื่อยๆ เลยดีกว่า
8.5.1.1. วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก (รวยกว่าคนข้างล่าง) ก็ไม่ทำนายตลาดเช่นกัน แต่ใช้วิธีซื้อหุ้นเป็นตัวๆ โดย "ไม่สนใจตลาดหุ้น"
8.5.1.2. จอร์จ โซรอส (George Soros) เป็นนักลงทุนระดับโลกที่ชอบทำนายวิกฤติเศรษฐกิจ และทำกำไรได้เยอะติดอันดับ เขากล่าวว่า "My approach works not by making valid predictions but by allowing me to correct false ones."
8.5.1.2.1. แสดงว่ามือหนึ่งด้านนี้ก็ไม่ได้ทำนายถูกตลอด แต่เขาซื้อขายบ่อย จึงแก้ตัวทัน
8.5.1.2.2. ถ้าคุณชอบทำนายวิกฤติ คุณต้องทุ่มเวลาทั้งหมดระดับที่อยู่กับเรื่องพวกนี้ทั้งวัน เพราะแนวทางนี้เสี่ยงสูงและเหนื่อยมาก
8.5.2. ทุกปีจะมีคนบอกว่าปีนี้จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่คนพวกนี้จะทายถูกแค่ครั้งเดียวต่อ 7-10 ปีเท่านั้น อย่าไปใส่ใจมาก
8.5.2.1. นาฬิกาตายยังบอกเวลาถูก 2 ครั้งต่อวัน
8.5.3. ถ้าคุณพยายามขายหุ้นก่อนเกิดวิกฤติ คุณจะขาดทุนถ้าไม่เกิดจริง
8.5.3.1. ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เกิดจริง