ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์การวิจัย ขอบเขตการวิจัย และการดำเนินการวิจัย

Get Started. It's Free
or sign up with your email address
ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์การวิจัย ขอบเขตการวิจัย และการดำเนินการวิจัย by Mind Map: ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์การวิจัย ขอบเขตการวิจัย และการดำเนินการวิจัย

1. ขั้นตอนที่ 1 การสำรวจสภาพปัญหา

1.1. 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา

1.1.1. ชั้นตอนในการสำรวจสภาพปัญหามีขอบเขตค้นเนื้อหา คือ ศึกษาถึงสภาพปัญหาในการ เรียนการสอนวิชาคณิตสตร์ด้านเนื้อหา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งทำการเก็บรวบรวมช้อมูลจากผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 7

1.2. 2. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล

1.2.1. ประชากร

1.2.1.1. ประชากร คือ ครผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สังกัดกรมสามัญศึกษาเขตการศึกษา 7 ปีการศึกษา 2540 จำนวน 307 คน

1.2.2. กลุ่มตัวอย่าง

1.2.2.1. กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนวิชาคณิตศาตร์ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 2 สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 7 ปีการศึกษา 2540 จำนวน 117 คน

1.3. 3. ขอบเขตต้านตัวแปร

1.3.1. ตัวแปรที่ศึกษา คือ ความคิดเห็นของครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์เกี่ยวกับปัญหาในการสสอนคณิตศาสตร์ด้านเนื้อหา

1.4. การดำเนินการวิจัย

1.4.1. ขั้นตอนที่ 1 การสำรวจสภาพปัญหา

1.4.1.1. intro

1.4.1.1.1. ในขั้นตอนการสำรวจสภาพปัญหา มีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อสำรวจสภาพปัญหาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ค้นเนื้อหา ในระดับชั้นมัธยมศึกษา ประชากร คือ ครูผู้สอนวิชคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึษาปีที่2 สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 7 ปีการศึกษา 2540 จำนวน 307 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สังกัดกรมสามัญศึกษาเขตการศึกษา 7 ปีกาศึกษา 2540 จำนวน 117 คน ซึ่งได้มาจากการสุมอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ดังนี้ 1. สุ่มจังหวัดในเขตการศึกษา 7 มาร้อยละ 50 จาก 8 จังหวัด ได้ 4 จังหวัด 2. จากจังหวัดที่สุ่มได้ นำครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มาเป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวนทั้งสิ้น 117 คน

1.4.1.2. เครื่องมือที่ใช่ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

1.4.1.2.1. เครื่องมือที่ใช่ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัญหาในการเรียนการสอนด้านเนื้อหาวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

1.4.1.3. วิธีดำเนินการสร้างเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล

1.4.1.3.1. 1. ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรมัธยศึกษาตอนตันพุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) หนังสื่อเรียนที่เกี่ยวข้องกับรายวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับชั้นมัยมศึกษาปีที่ 2 2. สร้างแบบสอบถามสำรวจสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ด้านเนื้อหา ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยสร้างเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ตัวเลือก 3. นำแบบสอบถามที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจแก้ใชภาษาสำนวนที่ใช้ และขอบเขตของเนื้อหาที่ว่าเที่ยงตรงและครอบคลุมเรื่องที่จะศึกษาหรือไม่ 4. นำแบบสอบถามที่ได้ผ่านการพิจารณาจากอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนย์มาปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมส่วนที่บกพร่องแล้วนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล

1.4.1.4. การเก็บรวบรวมข้อมูล

1.4.1.4.1. ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูล โดยดำเนินการดังนี้ 1. ขอหนังสือแนะนำตัวจากบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อนำไปใช้ในการติดต่อโรงเรียนที่เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่าง 2. ผู้วิจัยส่งแบบสอบถาม พร้อมทั้งหนังสือแนะนำตัวไปยังโรงเรียนที่ผู้วิจัยเลือกเป็นกลุ่ม ตัวอย่างทางไปรษณีย์ และผู้จัยเขียนชื่อ ที่อยู่ ของผู้วิจัยเองบนซองที่เตรียมไว้พร้อมทั้งติดวงตรา ไปรษณียากร เพื่อให้ได้แบบสอบถามที่ตอบเรียร้อยแล้วส่งกลับคืนให้ผู้วิจัยโดยตรง 3. ผู้วิจัยติดตาม แบบสอบถามที่ยังไม่ได้รับคืน หรือไม่สมบูรณ์ด้วยตัวเอง 4. ผู้วิจัยได้รับแบบสอบถามคืนทั้งสิ้น 97 ชุด คิดเป็นร้อยละ 82.90

1.4.1.5. การวิเคราะห์ข้อมูล

1.4.1.5.1. ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ 1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม และทำการคัดเลือกเฉพาะแบบสอบถามที่มีความสมบูรณ์เท่านั้น 2. นำแบบสอบถามมาตรวจให้คะแนน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ด้วยค่าความถี่ และร้อยละ ตอนที่ 2 ปัญหาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ กำหนดคะแนน ดังนี้ ความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ให้คะแนน 5 คะแนน ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ให้คะแนน 4 คะแนน ความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ให้คะแนน 3 คะแนน ความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อย ให้คะแนน 2 คะแนน ความคิดเห็นอยู่ในระดับน้อยที่สุด ให้คะแนน 1 คะแนน

1.4.1.5.2. 3. นำข้อมูลจากการตรวจให้คะแนนของแบบสอบถามในตอนที่ 2 มาทำการริเคราะห์

1.4.1.5.3. 4. นำค่าเฉลี่ยมาจัดอันดับว่ สภาพปัญหาการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์เนื้อหาใดอยู่ ในระดับมากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย หรือน้อยที่สุด โดยเปรียบเทียบตามเกณฑ์ดังนี้ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.50 - 5.50 หมายถึง มีปัญหาอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.50 - 4.49 หมายถึง มีปัญหาอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.50 - 3.49 หมายถึง มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.50 - 2.49 หมายถึง มีปัญหาอยู่ในระดับน้อย ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.00 - 1.49 หมายถึง มีปัญหาอยู่ในระดับน้อยที่สุด (ไชยยศ เรื่องสุวรรณ, 2534: 138)

2. ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและหาประสิทธิภาพของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

2.1. 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา

2.1.1. ชั้นตอนในการสงและหประสิทธิาพของปรแรมคอมพิวตอช่วยสอนนี้ ผู้วิจัยได้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ ตามเนื้อหาที่ผู้วิจัยได้สำรวจมาแล้วในขั้นตอนที่ 1

2.2. 2. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล

2.2.1. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูลในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คือ

2.2.2. 1. ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน 4 ท่าน 2. ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จำนวน 3 ท่าน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังกะพิทยาคม อำภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 9 คน

2.3. 3. ขอบเขตด้านตัวแปร

2.3.1. ตัวแปรที่ศึกษา คือ 1. ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนคณิตศาสตร์กี่ยวกับความเหมาะสะ ของเนื้อหาที่จะนำมาสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2. ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเกี่ยวกับ ความเหมาะสมของเทคนิค วิธีการ ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์

2.4. การดำเนินการวิจัย

2.4.1. ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและหาประสิทธิภาพของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

2.4.1.1. intro

2.4.1.1.1. ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยเนื้อหาที่จะมาพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้มาจากการสำรวจในขั้นตอนที่ 1 เรื่องสมบัติของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533)

2.4.1.2. แหล่งข้อมูล

2.4.1.2.1. 1. ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์จำนวน 4 ท่าน 2. ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวน 3 ท่าน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังกะพี้พิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 9 คน

2.4.1.3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคันคว้า

2.4.1.3.1. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องสมบัติของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก

2.4.1.4. การดำเนินการสร้างเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า

2.4.1.4.1. 1. ศึกษาแบบสอบถามการวิจัยสำรวจสภาพปัญหาในชั้นตอนที่ 1 เพื่อระบุเนื้อหาที่จะนำมาสร้าง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 2. ศึกษาหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนตัน พุทธศักราช 2521 ฉบับปรับปรุง พศ. 2533) คู่มือครูหนังสือเรียน และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายวิชาคณิตศาสตร์ พร้อมทั้งศึกษาเทคนิค วิธีการสร้างบทเรียนโปรแกรม 3. กำหนดจุดประสงคค์การเรียนรู้ เพื่อกำหนดขอบเขตเนื้อหาแต่ละตอนในการเรียนจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร 4. ออกแบบเนื้อหาความรู้ที่จะนำมาสร้งเป็นโปรแกรมคอมหิวเตอร์ช่วยสอน โดยออกแบบให้อยู่ในรูปแบบของบทเรียนโปรแกรม 5. นำบทเรียนโปรแกรมที่สร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อขอคำแนะนำแก้ไขส่วนที่ยังบกพร่อง และนำมาปรับปรุงแก้ใข 6. นำบทเรียนโปรแกรมที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมทั้งแบบประเมินบทเรียนโปรแกรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอผู้เชียวชาญค้านการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ จำนวน 4 ท่าน เพื่อทำการประเมินบทเรียนโปรแกรมวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง สมบัติของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ว่ามีเนื้อหาครอบคลุมตามจุดประสด์การเรียนรู้หรือไม่ (รายชื่อผู้เชี่ยวชาญดังแสดงในภาคผนวก ก) 7. นำแบบประเมินบทเรียนโปรแกรมจากผู้เชี่ยวชาญ ประเมินความหมาะสมของบทเรียนโปรแกรม โดยหาค่ดัชนี่ความสอดคล้อง (IOC) และพิจรณาความเหมาะสมของค่ IOC ที่มีค่าตั้งแต่ .50 ขึ้นไป 8. นำบทเรียนโปรแกมมาปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง 9. ศึกษาเทศนิค วิธีเขียนโปแกรม เครื่องมือที่จะช่วยพัฒนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้โปรแกรม Micosoft Visual Basie Vesion 5.0 ในการเซียนโปรแกรม 10. ดำเนินการสร้างและพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เพื่อเสนอเนื้อหาแต่ละกรอบบนจอคอมพิวเตอร์ 11. นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้น เสนอต่ออาจรย์ที่ปรึษาวิทยานิพนธ์ เพื่อขอคำแนะนำแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง และนำมาปรับปรุงแก้ไข

2.4.1.4.2. 12. นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว พร้อมทั้งแบบประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญด้านนการพัฒนาโปรแกรมคอมฟิวเตอร์ช่วยสอน จำนวน 3 ท่าน เพื่อทำการประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนว่ามีเทคนิค กระบวนการเหมาะสมหรือไม่ 13. นำแบบประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนให้ผู้เชี่ยวชาญ ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยหาค่าดัชนี่ความสอดคล้อง (IOC) และพิจารณาความเหมาะสมของค่า IOC ที่มีค่ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป 14. นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมาแก้ไขในส่วนที่ยังบกพร่อง 15. นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ได้ไปหาประสิทธิภาพ ดังนี้ 15.1 ทดลองกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังกะพี้พิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3 คน โดยใช้นักเรียน เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 1 คน เพื่อหาข้อบกพร่องทางด้านภาษา รูปแบบ ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน แล้วนำมาแก้ไข 15.2 ทดลองกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังกะพี้พิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 9 คน โดยใช้นักเรียน เก่ง ปานกลาง อ่อน อย่างละ 3 คน เพื่อหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80

2.4.1.5. การวิเคราะห์ข้อมูล

2.4.1.5.1. 1. ตรวจสอบความเหมาะสมของบทเรียนโปรแกรม โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) จากสูตรดังนี้ (เทียมจันทร์ พานิชย์ผลินไชย, 2539: 181)

2.4.1.5.2. 2. ประสิทธิภาพของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3. ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3.1. 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา

3.1.1. ชั้นตอนในการทดลองใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีขอบเขตด้านเนื้อหา คือ หาประสิทธิภาพของโปรแกรมคอมพิเตอร์ช่วยสอนที่ผู้วิจัยสร้งขึ้น และศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังรียนของนักเรียน ที่ได้รับการสอนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3.2. 2. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล

3.2.1. ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ศึกษาตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนตัน พุทธ ศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) กลุ่มตัวอย่าง คือ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา อำมอมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 20 คน 2. นักรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวังกะพิทยาคม อำภอมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน

3.3. 3. ขอบเขตด้านตัวแปร

3.3.1. ตัวแปรอิสระ คือ การเรียนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 1 ก่อนเรียนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน 2. หลังเรียนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์

3.4. การดำเนินการวิจัย

3.4.1. ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

3.4.1.1. intro

3.4.1.1.1. ขั้นตอนการทดลองใช้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนตันพุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) กลุ่มตัวอย่าง คือ 1. นักเรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุตรดิตถ์วิทยา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 20 คน 2. นักเรียนชั้นมัยมศึษาปีที่ 2 โรงเรียนวังกะพี้พิทยาคม อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึษา 2541 จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน

3.4.1.1.2. การเลือกโรงเรียนที่ใช้การทดลองมีหลักในการพิจารณา ดังนี้ 1. เป็นนักเรียนในโรงเรียนที่ผู้บริหารและคณะครูห็นความสำคัญของการวิยและให้ความร่วมมือในการวิจัยเป็นอย่างดี 2. เป็นโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์เพียงพอต่อการดำเนินการทดลอง

3.4.1.2. แบบแผนการวิจัย

3.4.1.2.1. ผู้ทำวิจัยทำการทดลองโดยใช้การวิจัยก่อนการทดลองแบบแผน The One Group Pretest Postest Desig ดังแสดงในตาราง 2 (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538: 240)

3.4.1.2.2. Untitled

3.4.1.2.3. Untitled

3.4.1.3. การดำเนินการทดลอง

3.4.1.3.1. ผู้วิจัยดำเนินทารทดลองโดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับกลุ่มตัวอย่าง 2. ดำเนินการทดลอง โดยผู้วิจัยแนะนำ และควบคุมดูแล การเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยตนเอง ใช้เวลาเรียน 5 คาบ คาบละ 50 นาที 2.1 สอนวิธีใช้คอมพิวเตอร์เบื้องตัน โดยให้นักเรียนเข้าโปรแกรมและออกโปรแกรมเองได้ สอนวิธีใช้เมาส์ โดยให้นักเรียนฝึกการคลิกเม้าส์ตามจุดต่างๆ ที่ต้องการให้คล่อง ใช้เวลาสอน 1 ดาบ 2.2 ให้นักเรียนได้เรียนด้วยตนเอง โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนโดยที่ผู้วิจัยคอย ดูแล ให้คำแนะนำ สำหรับนักเรียนที่เรียนไม่ทันเพื่อนก็สามารทบทวนบทเรียนด้วยตนเองได้ 3. เมื่อสอนจบบทเรียนแล้วทำการทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนฉบับเดียวกันที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน

3.4.1.4. เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง

3.4.1.4.1. คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง สมบัติของรูปสามหลี่ยมมุมฉาก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น

3.4.1.5. วิธีดำเนินการสร้างเครื่องมือ

3.4.1.5.1. 1. ศึกษาและวิเคราะห์เนื้อหา วิชาคณิตศาสตร์ โดยทำตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2. สร้างแบบทดสอบที่กำหนดไว้ในตารางวิคราะหหลักสูตร เป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 45 ข้อ 3. นำข้อสอบที่สร้างขึ้นเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาแสดงความคิดเห็น ความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้กับแบบทดสอบ แล้วนำความคิดเห็นมาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และพิจารณาข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป เป็นแบบทดสอบที่มีความตรงในการวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 4. นำข้อสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดสอบกับนักเรียนระดับชั้นมัยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2540 โรงเรียนทำทองวิทยาคม อำมอเมือง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 34 คน เพื่อค่าอำนาจจำแนกรายข้อของแบบทดสอบ 5. นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนน โดยให้คะแนน 1 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบถูกและให้ 0 คะแนนสำหรับข้อที่ตอบผิด หรือตอบมากว่า 1 คำตอบ หรือไม่ตอบ 6. รวมคะแนนของแต่ละคนแล้วทำการวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ เพื่อหาอำนจจำแนก (B) ตามวิธีของเบรนนวน (Brennan) 7. คัดเลือกข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.2 ขึ้นไป จำนวน 30 ข้อ 8. นำแบบทดสอบที่คัดเลือกไว้ 30 ข้อ มาหาความเที่ยงของแบบทดสอบทั้งฉบับตามวิธีของโลเวต (Lovett) 9. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป

3.4.1.6. การวิเคราะห์ข้อมูล

3.4.1.6.1. ในการวิคราะห์ข้อมูลในขั้นการวิจัยทดลองโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้วิจัยทำการ วิเคราะห์ ดังนี้

3.4.1.6.2. 1. นำกระดาษคำตอบของนักเรียนมาตรวจให้คะแนน โดยให้คะแนน 1 คะแนนสำหรับข้อที่ ตอบถูก และให้ 0 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบผิด หรือตอบมากกว่า 1 คำตอบ หรือไม่ตอบ 2. นำคะแนนของนักเรียนทั้งหมดมาหาค่เฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการทดสอบความมีนัยสำคัญของความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ยที่ได้จากการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สูตร t-test แบบ Dependent

3.4.1.6.3. โดยสถิติที่ใช้มีดังนี้

4. ขั้นตอนที่ 4 การประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

4.1. 1. ขอบเขตด้านเนื้อหา

4.1.1. ชั้นตอนในการวิจัยประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีขอบเขตด้านเนื้อหา คือ ศึกษา ถึงความคิดเห็นของนักรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน วิชาคณิตศาสตร์ ชั้นม้อยมศึษาปีที่ 2 ที่มีต่อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในด้านต่างๆ ดังนี้ 1. ด้านปัจจัยนำเข้า 2. ด้านกระบวนการ 3. ด้านผลผลิต

4.2. 2. ขอบเขตด้านแหล่งข้อมูล

4.2.1. ชอบเขตด้านแหล่งข้อมูลในการประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน คือ 1. นักรียนชั้นมัยมศึษาปีที่ 2 โรงเรียนอุตรดิตวิทยา อำอมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 254 ที่ได้รับการสอนในวิชาคณิตศาสตร์ด้วยโปรแกรมคอมหิวเตอร์ช่วยสอน จำนวน 20 คน 2. นักเรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 2 โงเรียนวังกะพิทยาคม อำนอมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่กำลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2541 ที่ได้รับการสอนในวิชาคณิตศาสตร์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จำนวน 10 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน

4.3. 3. ขอบเขตต้นตัวแปร

4.3.1. ตัวแปรที่ศึษา คือ ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธมศึกษาปีที่ 2 เกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

4.4. การดำเนินการวิจัย

4.4.1. ขั้นตอนที่ 4 การประเมินโปรแกรมคอมพิวตอร์ช่วยสอน

4.4.1.1. intro

4.4.1.1.1. ระเบียบวิธีที่ใช้ใช้ระเบียบวิจัยเชิงประเมิน มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ เพื่อประเมินผลการใช้โปรแกรมคอมพิวตอร์ช่วยสอน โดยดำเนินการประเมิน 3 ด้าน ดังนี้ 1. ประเมินปัจจัยนำเข้า (Input Evaluation) ประเมินเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการเรียน จำนวน แบบฝึกหัด เนื้อหา รูปแบบของโปรแกรมคอมหิวเตอร์ช่วยสอน 2. ประเมินกระบวนการ (Process Evalution) ประเมินเกี่ยวกับความเหมาะสมของวิธีการ สอนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 3. ประเมินผลผลิต (Product Evalution) ประเมินโดยพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการเรียนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

4.4.1.2. แหล่งข้อมูล

4.4.1.2.1. แหล่งข้อมูล คือ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสอนในวิชาคณิตศสตร์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จำนวน 30 คน

4.4.1.3. เครื่องมือที่ใช้ในการค้นคว้า

4.4.1.3.1. เครื่องมือที่ใช้ในการค้นคว้า คือ แบบประเมินโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

4.4.1.4. วิธีดำเนินการสร้างเครื่องมือ

4.4.1.4.1. วิธีดำเนินการสร้างเครื่องมือ 1. ศึกษาเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และ ศึกษาแบบสอบถามโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนของวชิระ อินทร์อุดม และวราภรณ์ สุวรรณคำ 2. ศึกษาวิธีการสร้างแบบประเมินจากหนังสือ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมิน 3. สร้างแบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 20 ขอ 4. นำแบบประเมินที่สร้างเสร็จแล้วไปให้ที่ปรึษาวิทยานิพนธ์พิจารณาตรวจสอบแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 5. จัดพิมพ์แบบประเมิน แล้วนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล

4.4.1.5. การเก็บรวบรวมข้อมูล

4.4.1.5.1. การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. หลังจากเสร็จสิ้นการทดลอง ผู้วิจัยแจกแบบประเมินให้กับนักรียนที่เรียนโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จำนวน 30 คน 2. ตรวจนับคะแนนเพื่อวิคราะห์ข้อมูลและเทียบเกณฑ์เพื่อตัดสินเป็นรายด้านตามที่กำหนดไว้

4.4.1.6. การวิเคราะห์ข้อมูล

4.4.1.6.1. 1. นำแบบประเมินมาตรวจให้คะแนน โดยมีการให้คะแนน ดังนี้

4.4.1.6.2. Untitled