แบบจำลอง (Model) การพัฒนาการบริหารสถานศึกษา

Get Started. It's Free
or sign up with your email address
แบบจำลอง (Model) การพัฒนาการบริหารสถานศึกษา by Mind Map: แบบจำลอง (Model) การพัฒนาการบริหารสถานศึกษา

1. ความหมายของแบบจำลอง

2. แบบจำลองที่ใช้ใน การพัฒนาการบริหารสถานศึกษา

2.1. 6. แบบจำลองการบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Management Model):

2.1.1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครู บุคลากร ผู้ปกครอง นักเรียน และชุมชนในการวางแผนและตัดสินใจ

2.1.2. เหมาะสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายในสถานศึกษา

2.2. 1. แบบจำลองเชิงระบบ (System Approach Model):

2.2.1. มองการบริหารสถานศึกษาเป็นระบบที่มีองค์ประกอบต่างๆ เช่น ปัจจัยนำเข้า (Inputs) กระบวนการ (Processes) และผลลัพธ์ (Outputs)

2.2.2. ใช้แนวคิดการเชื่อมโยงองค์ประกอบทุกส่วน เช่น การบริหารบุคลากร การจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาทรัพยากรให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

2.2.3. เหมาะสำหรับการพัฒนาสถานศึกษาในลักษณะองค์รวม

2.3. 2. แบบจำลอง PDCA (Plan-Do-Check-Act):

2.3.1. ใช้กระบวนการ 4 ขั้นตอน ได้แก่

2.3.2. Plan: วางแผนพัฒนาสถานศึกษา

2.3.3. Do: ดำเนินการตามแผน

2.3.4. Check: ประเมินผลและตรวจสอบ

2.3.5. Act: ปรับปรุงและพัฒนาตามผลการประเมิน

2.4. 3. แบบจำลอง CIPP (Context, Input, Process, Product):

2.4.1. ใช้ในการประเมินผลและพัฒนาสถานศึกษาใน 4 ด้าน ได้แก่

2.4.2. Context: วิเคราะห์บริบทและความต้องการ

2.4.3. Input: พิจารณาทรัพยากรและปัจจัยนำเข้า

2.4.4. Process: ประเมินกระบวนการดำเนินงาน

2.4.5. Product: ประเมินผลลัพธ์ที่ได้

2.4.6. เป็นแบบจำลองที่เน้นการพัฒนาคุณภาพในทุกขั้นตอน

2.5. 4. แบบจำลอง TQM (Total Quality Management):

2.5.1. มุ่งเน้นการบริหารงานเชิงคุณภาพในทุกด้านของสถานศึกษา โดยเน้น:

2.5.2. การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย

2.5.3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

2.5.4. การมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

2.5.5. เหมาะสำหรับสถานศึกษาที่ต้องการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการบริหาร

2.6. 5. แบบจำลองการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership Model):

2.6.1. เน้นบทบาทของผู้บริหารที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจและนำพาการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา

2.6.2. ส่งเสริมการพัฒนาวิสัยทัศน์ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการสนับสนุนให้บุคลากรร่วมกันพัฒนา

2.7. 7. แบบจำลอง PLC (Professional Learning Community):

2.7.1. สนับสนุนให้บุคลากรในสถานศึกษาทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน

2.7.2. เน้นการแลกเปลี่ยนความรู้ การวิจัย และการเรียนรู้ร่วมกันของครูและบุคลากร

2.8. 8. แบบจำลอง SWOT Analysis:

2.8.1. ใช้ในการวิเคราะห์ จุดแข็ง (Strengths), จุดอ่อน (Weaknesses), โอกาส (Opportunities), และอุปสรรค (Threats) ของสถานศึกษา

2.8.2. เป็นจุดเริ่มต้นในการวางแผนกลยุทธ์เพื่อพัฒนาองค์กรอย่างเหมาะสม

2.9. 9. แบบจำลอง Balanced Scorecard (BSC):

2.9.1. ใช้ประเมินผลการดำเนินงานใน 4 มิติ ได้แก่

2.9.1.1. มิติด้านการเงิน

2.9.1.2. มิติด้านกระบวนการภายใน

2.9.1.3. มิติด้านการเรียนรู้และการเติบโต

2.9.1.4. มิติด้านลูกค้า (ในที่นี้คือนักเรียนและผู้ปกครอง)

2.9.2. ช่วยให้สถานศึกษามองเห็นเป้าหมายในภาพรวมและวางกลยุทธ์ได้ชัดเจน

3. องค์ประกอบของแบบจำลอง

3.1. Brown and Moberg (1980)

3.1.1. 2. องค์ประกอบของแบบจำลอง Brown and Moberg (1980) ได้กำหนดองค์ประกอบของแบบจำลองตามแนวคิดเชิงระบบองค์การ กล่าวคือ 1) สภาพแวดล้อม 2) เทคโนโลยี 3) โครงสร้าง 4) กระบวนการบริหารจัดการ และ 5) การตัดสินใจสั่งการ

3.2. Bardo and Hartman (1982)

3.2.1. ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับองค์ประกอบของแบจำลองไว้ว่าการที่จะระบุว่าแบบจำลองใดแบบจำลองหองหนึ่ง จะประกอบด้วยรายละเอียดมากน้อยเพียงใดจึงจะเหมาะสม และแบบจำลองนั้นควรมีองค์ประกอบ อะไรบ้าง ไม่ได้มีข้อกำหนดที่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์นั้นๆ ตัวอย่าง เช่นแบจำลองที่มี ลักษณะบางประการของระบบเปิด เป็นแบจำลองที่แสดงองค์ประกอบย่อยของระบบซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ปัจจัยนำเข้า 2) กระบวนการ 3) ผลผลิต และ 4) ข้อมูลย้อนกลับจากสภาพแวดล้อม ซึ่งการพิจารณาแบบจำลองในลักษณะนี้ถือว่าผลผลิตของระบบเกิดจากการที่มีปัจจัย นำเข้าส่งเข้าไป ผ่านกระบวนการ ซึ่งจะจัดกระทำให้เกิดผลผลิตขึ้นและให้ความสนใจกับข้อมูล ย้อนกลับจากสภาพแวดล้อมภายนอก

3.3. Bush (1986)

3.3.1. ซึ่งเป็นลักษณะของระบบเปิด และ Bush (1986, p. 19) ได้ กล่าวถึง องค์ประกอบของแบบจำลองที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการพัฒนาแบบจำลองขององค์การทาง การศึกษา 4 ประการ คือ 1) เป้าหมาย 2) โครงสร้างองค์การ 3) สภาพแวดล้อม และ 4) ภาวะผู้นำ

3.4. จึงสรุปได้ว่า การกำหนดองค์ประกอบของแบบจำลองว่าจะต้องมีองค์ประกอบใดบ้าง จ้าเวมทำใดและมีสถาาพอย่างให้มั้น ไม่มีหลักลักนเจที่แห็นขึ้นอยู่กับทักษกหาหกระของปรากากาการร ที่ศึกษาเป็นสำคัญ แต่ทั้งนี้เเนบจำลองจะมีตัวแปรผันครบ แสดงให้ถึงความสัมพันธ์เหล่านั้น ในลักษณะเป็นเหตุผลและความสัมพันธ์เหล่านั้นจะตอบวัตถุประสงค์ของการสร้างแบบจำลองนั้นโดยใช้ข้อมูลชนิดต่างๆ ที่เชื่อถือได้ พิสูจน์ได้และเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

4. องค์ประกอบสำคัญของการพัฒนารูปแบบทางการบริหารการศึกษา

4.1. 1. วิสัยทัศน์และพันธกิจ (Vision and Mission)

4.1.1. วิสัยทัศน์: กำหนดภาพรวมของอนาคตที่สถานศึกษาหรือระบบการศึกษาต้องการบรรลุ เช่น การเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับสากล หรือการสร้างผู้เรียนที่มีคุณภาพ

4.1.2. พันธกิจ: วางแผนงานและเป้าหมายระยะยาวเพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์ เช่น การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือการพัฒนานวัตกรรมการศึกษา

4.2. 2. การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Goals and Objectives)

4.2.1. เป้าหมาย: มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่คาดหวังในเชิงคุณภาพและปริมาณ เช่น การยกระดับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน

4.2.2. วัตถุประสงค์: ระบุแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เช่น การเพิ่มทักษะครูในด้านเทคโนโลยีเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอน

4.3. 3. การวิเคราะห์บริบทและความต้องการ (Context and Needs Analysis)

4.3.1. บริบทภายใน: วิเคราะห์ทรัพยากร โครงสร้างองค์กร และความพร้อมของบุคลากร

4.3.2. บริบทภายนอก: วิเคราะห์ความต้องการของชุมชน ผู้ปกครอง และสังคม รวมถึงแนวโน้มทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม

4.3.3. การศึกษาความต้องการ: ใช้เครื่องมือเช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรือการสังเกต เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการออกแบบแผนการบริหาร

4.4. 4. การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning)

4.4.1. การวางแผนระยะสั้นและระยะยาว: กำหนดกิจกรรมเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนในแต่ละช่วงเวลา

4.4.2. การกำหนดทรัพยากร: จัดสรรงบประมาณ บุคลากร และเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับแผนงาน

4.4.3. การประเมินความเสี่ยง: พิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและวางแนวทางรับมือ

4.5. 5. การจัดการทรัพยากร (Resource Management)

4.5.1. ทรัพยากรบุคคล: การสรรหา พัฒนา และสร้างแรงจูงใจให้บุคลากร

4.5.2. ทรัพยากรการเงิน: บริหารจัดการงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพและคุ้มค่า

4.5.3. ทรัพยากรเทคโนโลยี: ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการบริหารและการเรียนการสอน

4.6. 6. การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ (Technology and Innovation Integration)

4.6.1. เทคโนโลยีดิจิทัล: ใช้ระบบจัดการเรียนรู้ (LMS), แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูล

4.6.2. นวัตกรรม: ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม เช่น การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) หรือการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ (Creative Learning)

4.7. 7. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholder Participation)

4.7.1. ครูและบุคลากร: สร้างความร่วมมือในทีมงานและส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพ

4.7.2. ผู้ปกครองและชุมชน: ส่งเสริมความร่วมมือในการสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียน

4.7.3. นักเรียน: เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมหรือหลักสูตร

4.8. 8. การติดตามและประเมินผล (Monitoring and Evaluation)

4.8.1. การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation): ตรวจสอบความเหมาะสมและความคืบหน้าของการดำเนินงาน

4.8.2. การประเมินผลลัพธ์ (Outcome Evaluation): วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้เปรียบเทียบกับเป้าหมาย

4.8.3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement): ใช้ผลการประเมินเพื่อปรับแผนและกลยุทธ์

4.9. 9. การพัฒนาภาวะผู้นำและวัฒนธรรมองค์กร (Leadership and Organizational Culture Development)

4.9.1. ภาวะผู้นำ: ส่งเสริมให้ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการเป็นแบบอย่างที่ดี

4.9.2. วัฒนธรรมองค์กร: สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การทำงานร่วมกัน และการเปลี่ยนแปลง

4.10. 10. การส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability Promotion)

4.10.1. การบริหารที่มุ่งเน้นความยั่งยืน: สร้างความสมดุลระหว่างเป้าหมายการศึกษาและทรัพยากรที่มี

4.10.2. การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต: พัฒนารูปแบบการศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในทุกช่วงวัย

4.11. สรุป

4.11.1. องค์ประกอบสำคัญของการพัฒนารูปแบบทางการบริหารการศึกษาประกอบด้วยการวิเคราะห์ความต้องการ การวางแผน การจัดการทรัพยากร การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ และการประเมินผลเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาเหล่านี้ช่วยให้การบริหารการศึกษามีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืนในระยะยาว.

5. การพัฒนาแบบจำลอง

5.1. ชัยยงศ์ พรหมวงศ์ (2544)

5.1.1. 1. การวิเคราะห์ระบบ (System analysis)

5.1.1.1. 1.1 วิเคราะห์ปณิธาน 1.2 วิเคราะห์จุดมุ่งหมาย และจุดประสงค์ 1.3 วิเคราะห์เจ้าหน้าที่ 1.4 วิเคราะห์ภารกิจ 1.5 วิเคราะห์เครื่องมือ สื่อ หรือ ช่องทาง 1.6 วิเคราะห์วิธีการ 1.7 วิเคราะห์การตรวจสอบ ควบคุม และการประเมิน

5.1.2. 2. การสังเคราะห์ระบบ (System synthesis) เป็นการนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการสร้าง ระบบใหม่ โดยการนำองค์ประกอบ ความสัมพัมพันธ์ ทิศทาง และลำดับขันตอนขอนของระบใหม่

5.1.3. 3. การเรรแบบจำลอง (Systen Mocteing) เป็นขั้นการสื่อสารระบบที่สร้างใหม่ เพื่อง่ายต่อการนำไปใช้ โดยการเขียนแบจำจาลองแบบใดแบบหนึ่ง ดังนี้

5.1.3.1. 3.1 แบบรูปภาพหรือหนุนจำลองของของจริง เช่น ภาพวาด หุ่นจ้าลองเรื่องเรื่องบิน ฯลฯ 3.2 แบบจำลองเปรียบเทียบ เช่น นาฬิกา เป็นแบบจำลองของเวลาหรือ สีแดง ขาว น้ำเงิน ของธงชาติไทย เป็นแบบจำลองอุปมาอุปมัยของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นต้นต้น 3.3 แบบจำลองสัญลักษณ์ เช่น สัญลักษณ์ทางคณิตศาสศาสตร์ 3.4 แบบจำลองแนวคิด ได้แก่แบบจ่าลองที่แทนด้วยภาพแผนภูมิ หรือแรอแผม ในแบบจำลองต่างๆ แบบจำลองจะช่วยอธิบายขั้นตอนสำคัญของระบบ ช่วยในการสื่อสารให้ทราบ ขั้นตอน และการควบคุม และทำนายไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ดำเนินไปตามระบบ

5.1.4. 4. การทดสอบระบบ (System Testing) เมื่อได้มีการพัฒนาระบบด้วยการกำหนด ขั้นตอน และแสดงออกมาในแบบจำลองจำลองแล้ว เรียกได้ว่า เราได้ระบบใหม่ขึ้นเป็นต้นต้นแบบ แต่ยังประกันไม่ได้ว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นจะทำงางานได้ตามวัตถุประสงค์ นักจัดระบบจึงจำเป็นที่จะ ต้องนำ "ต้นแบบระบบ" (System Prototype) ไปทดสอบระบบในสถานการณ์จำลอง (Systems Simulation) กล่าวคือ นำระบบไปใช้ในสถานการณ์ที่ใกล้ความจริง แน่นอน หากนำไปทำไปทดลองในสถานการณ์จริงมีปัญหามากในด้านค่าใช้จ่าย เวลา และความเสี่ยง โดยเฉพาะระบที่เกี่ยวข้องกับคนและทรัพย์สิน นักจัดระบบ จึงทดสอบระบบบในสถานการณ์จ้าลองแทน

6. แนวทางการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษา

6.1. การกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจที่ชัดเจน:

6.1.1. สร้างวิสัยทัศน์ที่สะท้อนเป้าหมายระยะยาวของสถานศึกษา

6.1.2. กำหนดพันธกิจที่เน้นการพัฒนาผู้เรียน ครู และชุมชนโดยรอบ

6.1.3. สร้างความสอดคล้องระหว่างวิสัยทัศน์ของสถานศึกษากับนโยบายระดับชาติและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

6.2. การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการบริหาร:

6.2.1. ใช้ระบบการจัดการข้อมูล (MIS) เพื่อวิเคราะห์และบริหารจัดการข้อมูลนักเรียน ครู และทรัพยากร

6.2.2. ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Google Workspace หรือ Microsoft Teams ในการสื่อสารและทำงานร่วมกัน

6.2.3. นำ AI และ Big Data มาช่วยในการวางแผนและตัดสินใจ เช่น การวิเคราะห์ผลการเรียน การวางแผนทรัพยากร

6.3. การบริหารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Management):

6.3.1. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครู นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชนในการวางแผนและตัดสินใจ

6.3.2. จัดตั้งคณะกรรมการหรือทีมงานที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนเพื่อกำกับดูแลและพัฒนากิจกรรมในสถานศึกษา

6.3.3. ใช้กระบวนการระดมความคิดเห็น (Brainstorming) เพื่อหาแนวทางใหม่ๆ ในการพัฒนา

6.4. การสร้างภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพ (Leadership Development):

6.4.1. พัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาให้มีทักษะที่หลากหลาย เช่น การบริหารเชิงกลยุทธ์ การสื่อสาร และการสร้างแรงจูงใจ

6.4.2. ส่งเสริมการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ (Visionary Leadership) และสามารถปรับตัวในยุคดิจิทัล

6.4.3. ใช้รูปแบบการเป็นผู้นำแบบกระจาย (Distributed Leadership) เพื่อกระจายอำนาจและความรับผิดชอบ

6.5. การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา:

6.5.1. จัดอบรมและพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัจจุบัน เช่น การใช้เทคโนโลยี ทักษะการสอนเชิงสร้างสรรค์ และการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง

6.5.2. สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ของบุคลากรทุกระดับ

6.5.3. ส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน (Collaborative Culture)

6.6. การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและชุมชน:

6.6.1. เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมและการตัดสินใจในโรงเรียน

6.6.2. ใช้ทรัพยากรในชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้นอกสถานที่หรือโครงการบริการชุมชน

6.6.3. เสริมสร้างความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารที่โปร่งใสและต่อเนื่อง

6.7. การประเมินและพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง:

6.7.1. ใช้ระบบประกันคุณภาพการศึกษา (Education Quality Assurance) เพื่อประเมินผลการดำเนินงานในทุกด้าน

6.7.2. จัดทำแผนพัฒนาตามผลการประเมิน เช่น การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงเรียนหรือการเสริมจุดแข็งให้ดียิ่งขึ้น

6.7.3. นำผลการประเมินไปปรับปรุงกลยุทธ์หรือแนวทางการบริหาร

6.8. การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ:

6.8.1. บริหารจัดการงบประมาณและทรัพยากรให้สอดคล้องกับความต้องการและเป้าหมาย

6.8.2. สร้างระบบการติดตามและตรวจสอบการใช้ทรัพยากร

6.8.3. ส่งเสริมความยั่งยืน เช่น การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน