ภูมิประเทศของโลก

Track and organize your meetings within your company

Get Started. It's Free
or sign up with your email address
ภูมิประเทศของโลก by Mind Map: ภูมิประเทศของโลก

1. ลักษณะภูมิประเทศที่ปรากฏเด่นชัด (Major Landforms) มี 3 อย่างที่เด่นชัด

1.1. 1.ภูเขา (Mountain) หมายถึงผืนดินบริเวณที่มีความสูงมากกว่าหนึ่งพันฟุต เมื่อเทียบกับบริเวณโดยรอบ ภูเขาส่วนใหญ่มีฐานกว้าง และมียอดเขา (Peak) แหลม ยอดเขาคือส่วนที่มีลักษณะแหลมบนยอดของภูเขา ภูเขาเกิดขึ้นได้โดยหลายวิธีด้วยกัน ภูเขาอาจก่อตัวขึ้นเมื่อแผ่นเปลือกโลก (Tectonic Plate) สองแผ่นเข้าปะทะกัน และทำให้แผ่นดินบางส่วนถูกดันขึ้นจนเป็นภูเขา “เทือกเขาหิมาลัย” (The Himalayas Mountain Range) ในทวีปเอเชียเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการก่อตัวของภูเขาในแบบนี้ ภูเขาบางลูกอาจเกิดขึ้นตามรอยเลื่อน (Fault) หรือรอยแยกของเปลือกโลก

1.2. 2.เนินเขา (Hill) หมายถึงผืนดินที่มีความสูงมากกว่าบริเวณรอบๆ และมียอดโค้งมน ซึ่งเนินเขาจะมีขนาดเล็กกว่า และพื้นดินจะสลับซับซ้อนน้อยกว่าภูเขา

1.3. 3.ที่ราบ” (Plain) หมายถึงพื้นดินที่ราบเกือบเสมอกันหมด ประชากรมากกว่าครึ่งบนโลกของเราอาศัยอยู่บนที่ราบ ซึ่งเป็นลักษณะภูมิประเทศที่ปรากฏอยู่มากกว่า 55เปอร์เซ็นต์บนผิวโลก การก่อสร้างเมืองบนที่ราบนั้นง่ายกว่ามาก และการเดินทางบนที่ราบก็เช่นกัน ที่ราบส่วนใหญ่บนโลกเป็นผืนแผ่นดินที่สมบูรณ์ และพืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ของโลกเราก็ปลูกบนที่ราบ

2. ลักษณะของเปลือกโลกมีลักษณะรูปแบบต่างๆ กัน บางบริเวณมีลักษณะไม่ราบเรียบ สูงๆ ต่ำๆ บางบริเวณเป็นที่ราบลุ่มที่มีน้ำท่วมถึง บางบริเวณเป็นที่สูง เป็นกรวดเป็นทรายกว้างขวาง บางบริเวณเป็นภูเขาสูงสลับกับหุบเขาลึก ซึ่งเราสามารถแบ่งลักษณะภูมิประเทศตามสภาพสูงต่ำของเปลือกโลกได้ 3 รูปแบบ ได้แก่

2.1. 1. ที่ราบ (plain) หมายถึง พื้นผิวโลกที่เป็นที่ราบเรียบหรือขรุขระก็ได้ โดยมีความต่างระดับในท้องถิ่น ( local relief)ไม่เกิน 150 เมตร และโดยปกติจะอยู่สูงกว่าระดับทะเลไม่เกิน 100 เมตร ความแตกต่างระหว่างพื้นที่ระหว่างที่ต่ำกับที่สูงจะมีไม่มากนัก โครงสร้างของหินที่รองรับจะวางตัวอยู่ในแนวราบหรือเกือบราบ ลักษณะที่ราบจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้

2.1.1. 1.1 ที่ราบแม่น้ำ (river plains) หรือที่ราบลุ่มแม่น้ำ (allurival plains) เป็นที่ราบที่มีลักษณะสำคัญคือมีแม่น้ำไหลผ่านบนพื้นที่ของที่ราบ และปรากฏลักษณะชัดเจนในบริเวณปากแม่น้ำ นอกจากนี้บริเวณที่ราบแม่น้ำจะมีลักษณะภูมิประเทศอื่นปะปนอยู่ด้วย เช่น 1.ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยมบริเวณปากแม่น้ำ (deltaic plains) เกิดจากแม่น้ำนำตะกอนดินมาทับถมให้ตื้นเขินขึ้นที่บริเวณปากแม่น้ำ 2.ที่ราบน้ำท่วมถึง (flood plains) เป็นที่ราบที่อยู่ริมแม่น้ำ จะมีน้ำท่วมเอ่ออยู่เป็นเวลานาน3.ลานตะพักลำน้ำ (river tereace) เป็นที่ราบริมแม่น้ำที่แม่น้ำกัดเซาะพื้นผิวโลก และนำตะกอนมาทับถมไว้

2.1.2. 1.2 ที่ราบชายฝั่ง (coastal plains) เป็นที่ราบที่เกิดบริเวณชายฝั่งทะเลโดยคลื่นและกระแสลมจะพัดพาเอาโคลน ทราย และตะกอนต่างๆ มาทับถมไว้ที่ชายฝั่ง ลักษณะที่ราบชายฝั่งทะเลมีหลายลักษณะ เช่น 1.ที่ราบชายฝั่งทะเลทั่วไปเมื่อคลื่นกัดเซาะชายฝั่ง 2.ที่ราบบางแห่งเป็นพื้นที่กว้างขวางมีภูเขาโดดๆ 3.ที่ราบบางแห่งเป็นที่ราบแคบๆ ชายฝั่ง

2.1.3. 1.3 ที่ราบดินตะกอนเชิงเขา (piedmont alluvial plains) เป็น ที่ราบที่เกิดจากน้ำและลมพัดพาดินตะกอนจากภูเขามาทับถมไว้บริเวณเชิง เขา ซึ่งจะกระจายแผ่ออกเป็นลักษณะดินตะกอนรูปพัด ถ้าเป็นแนว ภูเขาต่อเนื่องกันยาว อาจเกิดเป็นดินตะกอนรูปพัดหลายๆ อันต่อเนื่องกันเป็นผืนกว้างขวาง บริเวณที่ราบดินตะกอนเชิงเขาจะประกอบด้วยดินหยาบๆ และกรวดซ้อนอยู่เป็นชั้นๆ กรวดเหล่านี้จะอยู่ชั้นล่าง ส่วนที่เป็นดินทับอยู่ข้างบน ลักษณะเช่นนี้จะระบายน้ำได้ดี

2.1.4. 1.4 ที่ราบธารน้ำแข็ง ใน พื้นที่ที่เป็นเขตหนาวและเขตอบอุ่น จะปรากฏที่ราบที่เกิดจากธารน้ำแข็งกัดกร่อนเปลือกโลกให้ราบลง ที่ราบที่เกิดจากธารน้ำแข็งจะมีร่องรอยของการขูดครูด ทำให้เกิดทะเลสาบหรือแอ่งน้ำกระจายอยู่ทั่วไป แหล่งน้ำเหล่านี้มีขนาดต่างๆ กัน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากธารน้ำแข็งขุดลึกลงไปในเปลือกโลก

2.1.5. 1.5 ที่ราบภายในทวีป เป็นที่ราบที่เกิดขึ้นจากการยกตัวของผืนทวีปหรือเปลือกโลก ทำให้ท้องทะเลบางแห่งภายในผืนทวีปตื้นเขินขึ้นกลายเป็นที่ราบซึ่งจะมีพื้นที่กว้างขวางมาก ได้แก่ เกรตเพลนส์ (great plains) ในทวีปอเมริกาเหนือ มีพื้นที่บริเวณกว้างจากตะวันตกของสหรัฐอเมริกาเข้าไป

2.2. 2. ที่ราบสูง (plateau) หมายถึง บริเวณพื้นที่ที่มีระดับสูงขึ้นกว่าบริเวณที่อยู่โดยรอบ ส่วนใหญ่มักเป็นบริเวณที่มีเนื้อที่กว้างใหญ่ เป็นพื้นที่ที่มีความต่างระดับมากกว่า 150 เมตร (ความสูงในท้องถิ่นมากกว่า 150 เมตร) และสูงกว่าระดับทะเลตั้งแต่ 100 เมตร จนถึง 1,500 เมตร ส่วนโครงสร้างของหินที่รองรับวางตัวอยู่ในแนวระนาบหรือเกือบราบ โดยมีขอบชันหรือผาชัน (escarpment) อยู่อย่างน้อยหนึ่งด้าน หรือมีทิวเขากั้นเป็นขอบอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นที่ราบสูงถ้าแบ่งตามเกณฑ์ลักษณะที่ตั้งมี 3 รูปแบบ คือ ที่ราบสูงระหว่าง ภูเขา ที่ราบสูงเชิงเขา และที่ราบสูงทวีป ลักษณะที่ราบสูงถ้าแบ่งตามเกณฑ์ลักษณะโครงสร้างพื้นฐาน แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ ที่ราบสูงหินแนวราบ ที่ราบสูงหินผิดรูป ที่ราบสูงหินลาวา

2.3. 3. ภูเขาและเนินเขา (mountains and hills) หมายถึง บริเวณพื้นที่ที่มีความสูงจากบริเวณรอบๆ ทั้งภูเขาและเนินเขา มีลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วๆ ไปเหมือนกัน แตกต่างอยู่ที่ความต่างระดับและความลาดชัน (slope) ภูเขาจะมีความต่างระดับซึ่งเป็นที่สูงเกิน 500 เมตร ส่วนเนินเขาเป็นพื้นที่ที่มีความสูงน้อยกว่า (ประมาณ 150-500 เมตร) ความไม่ราบเรียบของภูเขาและเนินเขาขึ้นอยู่กับการวางตัวของหิน ทำให้แบ่งลักษณะภูเขาและเนินเขาออกเป็น 4 รูปแบบ คือ

2.3.1. 3.1 ภูเขาโก่ง (folded Mountains) หรือ fold ภูเขาประเภทนี้มีมากที่สุดและเป็นภูเขาที่สำคัญ เกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลกเนื่องจากได้รับแรงกดและแรงบีบ ส่วนที่โก่งขึ้นเรียกว่า โค้งรูปประทุนหรือกระทะคว่ำ (anticline) ส่วนที่โก่งลงเรียกว่า โค้งรูปประทุนหงายหรือกระทะหงาย (syncline) ตัวอย่างภูเขาที่ขึ้นชื่อของโลกคือ เทือกเขาร็อกกี (Rocky) เทือกเขาแอนดีส (Andes) เทือกเขาแอลป์ (Alps) เทือกเขาจูรา (Jura) ในทวีปยุโรป

2.3.2. 3.2 ภูเขาบล็อก (fault-block mountains) เกิดจากการเลื่อนตัวของเปลือกโลกในลักษณะของรอยเลื่อนหรือรอยเหลื่อม (faulting) คือ เกิดแนวแตกของเปลือกโลกซีกหนึ่งจมยุบลงและดันให้อีกซีกหนึ่งยกตัวขึ้นสูงเป็นภูเขา

2.3.3. 3.3 ภูเขาโดม (dome mountains) เกิดจากการดันตัวของหินละลาย (lava) หรือหินหนืด (magma) ภายในโลก พยายามแทรกเปลือกโลกแต่ไม่สามารถดันออกมาภายนอก จึงแข็งตัวภายใต้เปลือกโลก เมื่อหินที่ปกคลุมอยู่เดิมสึกกร่อนไปหมด จะเหลือแต่แกนหินซึ่งเป็นหินอัคนีซึ่งเกิดจากการดันตัวของหินละลาย

2.3.4. 3.4 ภูเขาไฟ (Volcanic Mountains) เกิดจากการดันตัวของหินละลาย (lava) และหินหนืด (magma) ที่ขับออกมาตามรอยแตกแยกของเปลือกโลกคือ ออกมาภายนอกโลกได้ ทำให้เกิดมูลภูเขาไฟ (cinders) เถ้าถ่าน ฝุ่นละออง และโคลนเหลวไหลปลิวตกรอบๆ ปล่องภูเขา ภูเขาไฟจึงมีรูปร่างคล้ายกับกรวยหรือรูปฝาชีเพราะการไหลของลาวากระจายออกมาเสริมรูปร่างของภูเขา บริเวณภูเขาไฟและที่ใกล้เคียงจะพบหินซึ่งมีรูพรุนที่เกิดจากฟองอากาศ ถ้าเป็นภูเขาไฟซึ่งมีการระเบิดรุนแรง จะพบวัตถุภูเขาไฟ